วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

งูจงอาง (King Cobra)

งูจงอาง (King Cobra)
จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลื้อยคลาน เป็นงูพิษขนาดใหญ่ โดยทั่วไปมีความยาวเฉลี่ยประมาณ 2.5 - 4 เมตร [1] จัดเป็นงูพิษที่มีขนาดยาวที่สุดในโลก ซึ่งตัวที่ยาวเป็นสถิติโลกมีความยาวถึง 5.59 เมตร เป็นงูจงอางไทย ถูกยิงได้ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช พ.ศ. 2467[2] น้ำหนักประมาณ 6 - 10 กิโลกรัม มีลูกตาดำและกลม หัวใหญ่กลมทู่ สามารถแผ่แม่เบี้ยได้เช่นเดียวกับงูเห่า ลำตัวเรียวยาว ว่ายน้ำเก่ง มีหลายสีแต่โดยทั่วไปจะมีสีน้ำตาลแดงอมเขียว ท้องมีสีเหลืองจนเกือบขาว มีสีแดงเกือบส้มที่บริเวณใต้คอ มีพิษร้ายแรงแต่ไม่เท่างูเห่า มีผลทางระบบประสาท (Neurotoxin) ที่รุนแรง พิษของงูจงอางสามารถทำให้คนหรือสัตว์ตายได้[3] โดยมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 75%[3][4][5] เนื่องจากปริมาณพิษที่ฉีดออกจากเขี้ยวพิษมีมาก งูจงอางมีนิสัยค่อนข้างดุร้าย แต่ถ้าไม่จวนตัวหรือถูกรุกรานก่อนจะไม่ทำร้าย อาหารของงูจงอางคืองูอื่น ๆ ที่มีขนาดเล็กกว่า กบหรือตะกวดและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กเช่นหนู เป็นต้น
งูจงอางจัดอยู่ในสกุล Ophiophagus เป็นสกุลของงูพิษที่มีผลต่อระบบประสาท มีรากศัพท์จากภาษาละตินมีความหมายว่า "กินงู" ซึ่งหมายความถึงการล่าเหยื่อของงูจงอาง เพราะงูในสกุลนี้ กินงูอื่นเป็นอาหารและมีเพียงชนิดเดียวคืองูจงอาง พบในประเทศไทย ประเทศอินเดีย ประเทศพม่า ประเทศอินโดนีเซีย และประเทศมาเลเซีย สำหรับประเทศไทยมีมากในป่าจังหวัดนครสวรรค์ เพชรบูรณ์ และนครราชสีมา และในป่าทุกภาค แต่ชุกชุมทางภาคใต้มากที่สุด[6] ปัจจุบันเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535
ลักษณะทั่วไป
ลักษณะหัวของงูจงอางงูจงอางเป็นงูพิษที่มีลักษณะหัวกลมมน เกล็ดบริเวณส่วนหัวใหญ่ มีเขี้ยว 2 เขี้ยวที่ขากรรไกรด้านบน หน้าตาดุดัน จมูกทู่ มองเผิน ๆ คล้ายกับงูสิงดง ที่บริเวณขอบตาบนมีเกล็ดยื่นงองุ้มออกมา ทำให้หน้าตาของงูจงอางมองดูแลดูดุและน่ากลัว ส่วนบริเวณท่อนหางจะมีลักษณะคล้ายคลึงกันมากที่สุด มีม่านตากลม ลำคอมีขนาดสมส่วน ลำตัวขนาดใหญ่เรียวยาว แผ่แม่เบี้ยได้เช่นเดียวกับงูเห่า งูจงอางที่ยังไม่โตเต็มวัย จะมีขนาดลำตัวเท่ากับงูเห่าดงแต่จะยาวกว่า ทำให้คนทั่วไปที่พบเห็นและไม่เคยเห็นงูจงอางมาก่อน จะเข้าใจผิดว่าเป็นงูเห่าและเรียกว่างูเห่าดง
ตามปกติจะหากินที่พื้นดินแต่ก็สามารถขึ้นต้นไม้ได้อย่างคล่องแคล่ว เป็นงูที่ใช้วิธีการฉกกัดและรัดเหยื่อไม่เป็น ซึ่งไม่สมกับขนาดของลำตัวที่เพรียวยาว ปกติจะเลื้อยช้าแต่จะมีความว่องไวและปราดเปรียวเมื่อตกใจ ถ้าพบเจอสิ่งใดแล้วไม่หยุดชูคอขึ้น จะเลื้อยผ่านไปเงียบ ๆ แต่ถ้าขดตัวเข้ามารวมเป็นกลุ่มแล้วยกหัวสูงขึ้น แสดงว่าพร้อมจู่โจมสิ่งที่พบเห็นเวลาเลื้อยหัวจะเรียบขนานไปกับพื้น แต่เมื่อตกใจหรือโกรธสามารถยกตัวขึ้นชูคอได้สูงประมาณ 1 ใน 3 ของขนาดความยาวลำตัว เทียบความสูงได้ในระดับประมาณเอวของคน จังหวะที่ยกตัวชูสูงขึ้นในครั้งแรกจะมีความสูงมากและค่อย ๆ ลดลงมาอยู่ในระดับปกติตามเดิม ไม่ส่งเสียงขู่ฟ่อ ๆ เมื่อมีสิ่งใดเข้าใกล้เช่นเดียวกับงูเห่า ที่สามารถพ่นลมออกจากทางรูจมูกซึ่งเป็นเอกลักษณ์พิเศษเฉพาะของงูเห่าแผ่แม่เบี้ยได้เหมือนงูเห่าแต่จะแคบและไม่มีลายดอกจันที่บริเวณศีรษะด้านหลัง มีลายค่อนข้างจางพาดตามขวาง มีลักษณะเป็นบั้ง ๆ แทน
งูจงอางเป็นงูพิษที่สามารถต้านทานพิษงูชนิดอื่น ๆ ได้อย่างดีเยี่ยม เช่น งูเห่า งูกะปะ เมื่อเกิดการต่อสู้และถูกกัดจะไม่ได้รับอันตรายจนถึงตาย แต่จะกัดและกินงูเหล่านั้นเป็นอาหารแทน งูจงอางมีเกล็ดพิเศษบนศีรษะจำนวน 1 คู่ อยู่บริเวณด้านหลังของเกล็ดกระหม่อม (Parietals) มีชื่อเรียกว่า Occipitals ซึ่งจะมีเฉพาะงูจงอางเท่านั้น มีถิ่นอาศัยอยู่ในป่า ไม่ปรากฏว่าพบตามสวนหรือไร่นา ทำรังและวางไข่ประมาณปีละครั้ง ครั้งละประมาณ 20 - 30 ฟอง ชอบทำรังในกอไผ่ กกและฟักไข่เองจนกว่าลูกงูจะเกิด
งูจงอางมีพฤติกรรมการฉกกัดแบบติดแน่น ไม่กัดฉกเหมือนงูเห่า จึงกัดแล้วจะย้ำเขี้ยว (lock jaw) น้ำพิษมีสีเหลืองและมีลักษณะเหนียวหนืด พิษงูทำลายประสาทเช่นเดียวกับงูเห่าแต่เกิดอาการเร็วและรุนแรงกว่า เนื่องจากมีน้ำพิษปริมาณมากเพราะงูจงอางมีขนาดโตกว่างูเห่า ผู้ถูกกัดจะมีอาการหนังตาตก ขากรรไกรแข็ง พูดไม่ชัด กลืนน้ำลายไม่ได้ แน่นหน้าอก ตาพร่า อ่อนเพลีย เป็นอัมพาต อาจตายเพราะการหายใจล้มเหลว [10] น้ำพิษของงูจงอางมีปริมาณมากถึง 10 เท่าของงูเห่า ทำให้เกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อ ที่อันตรายคือกล้ามเนื้อที่ใช้หายใจหยุดทำงาน ดังนั้นหากถูกกัดจะถึงแก่ความตายอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึง 30 นาที
ลักษณะทางกายวิภาค
งูจงอางเป็นงูที่มีความผันแปรในเรื่องของขนาดลำตัวและสีสันของเกล็ดอย่างชัดเจน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับแหล่งที่อยู่อาศัยและสภาพทางภูมิศาสตร์ เช่น งูจงอางที่มีถิ่นอาศัยอยู่ในแถบทางภาคใต้ของประเทศไทย จะมีขนาดลำตัวที่ใหญ่โตกว่างูจงอางในแถบภาคอื่น ๆ รวมทั้งสีของเกล็ดก็แตกต่างด้วยเช่นกัน งูจงอางในแถบภาคใต้จะมีสีน้ำตาลอมเขียวหรือสีเขียวอมเทา ลักษณะลวดลายของเกล็ดบริเวณลำตัวไม่ค่อยชัดเจน แตกต่างจากงูจงอางในแถบภาคอื่น ๆ เช่น งูจงอางในภาคเหนือ จะมีเกล็ดสีเข้มจนเกือบดำ ซึ่งมักจะเรียกกันว่า จงอางดำ และมีนิสัยดุร้ายกว่างูจงอางในแถบภาคใต้
ส่วนงูจงอางในแถบภาคกลางและหลาย ๆ จังหวัดในแถบภาคอีสาน มักจะมีสีเกล็ดเป็นลายขวั้นตามขวาง ลักษณะเป็นบั้ง ๆ เกือบตลอดทั้งตัว มีนิสัยดุร้ายเช่นเดียวกับงูจงอางแถบภาคเหนือและภาคใต้ แต่มีขนาดของลำตัวที่เล็กกว่า ว่องไวและปราดเปรียว
โดยรวมลักษณะทางกายวิภาคของงูจงอางในแต่ละภาคจะเหมือนกัน มีความแตกต่างเพียงแค่ขนาดของลำตัวเท่านั้น ซึ่งลักษณะทางกายวิภาคของงูจงอาง มีดังนี้[13]
น้ำพิษ
ลักษณะเขี้ยวและต่อมพิษของงูจงอางงูพิษ หรือ งูพิษอันตราย (Dangerous Venomous Snakes) มีความหมายเหมือนกันกับคำว่า "งูที่มีความสำคัญในทางการแพทย์" (Snakes of Medical Importance) ซึ่งจะหมายความถึงงูที่มีกลไกของพิษ (Venom apparatus) และปริมาณน้ำพิษที่มีความรุนแรง ซึ่งมีผลต่อระบบประสาทและระบบโลหิตต่อร่างกายของสัตว์และมนุษย์ ทำให้เสียชีวิตได้อย่างรวดเร็วในระยะเวลาไม่นาน ซึ่งกลไกลของพิษของงูโดยเฉพาะงูจงอาง ที่มีปริมาณพิษร้ายแรงน้อยกว่างูเห่าแต่ปริมาณน้ำพิษมากกว่า สามารถทำให้ผู้ที่ได้รับพิษเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งลักษณะกลไกพิษของงูจงอาง มีดังนี้
ส่วนประกอบสำคัญต่าง ๆ ของระบบพิษงูจงอาง ได้แก่
ต่อมผลิตพิษ
ต่อมผลิตพิษ (Venom Gland) เป็นต่อมที่ทำหน้าที่สำหรับสร้างพิษงูในงูพิษที่จัดอยู่ในชั้นสูงขึ้นไป ซึ่งได้แก่งูในครอบครัว Elapidae และครอบครัว Viperidae งูจงอางจะมีต่อมพิษที่สามารถเจริญเติบโตและพัฒนาการจนมีขนาดใหญ่ โดยตำแหน่งของต่อมผลิตพิษจะอยู่บริเวณหลังลูกตาทั้ง 2 ข้างในลักษณะของตำแหน่งที่เทียบได้กับกระพุ้งแก้ม
ต่อมผลิตพิษนี้จะมีอยู่ทั้ง 2 ข้างของหัวงูจงอาง ข้างละ 1 อัน โดยบนต่อมผลิตพิษจะมีกล้ามเนื้อพิเศษที่ทำการควบคุมการผลิตพิษของต่อมผลิตพิษ เพื่อเป็นการบังคับให้ต่อมผลิตพิษ บีบตัวและหลั่งน้ำพิษเมื่องูจงอางต้องการ หรือฉกกัดสิ่งที่พบเห็น
ท่อน้ำพิษ
ท่อน้ำพิษ (Venom Duct) เป็นท่อที่มีลักษณะพิเศษที่ทำการเชื่อมต่อกันระหว่างต่อมผลิตพิษ และโคนเขี้ยวพิษของงูจงอาง มีหน้าที่ในการลำเลียงน้ำพิษจากต่อมผลิตพิษ เมื่องูจงอางบีบและหลั่งน้ำพิษไปยังเขี้ยวพิษทั้ง 2 ข้างที่ขากรรไกรด้านล้างด้วย
เขี้ยวพิษ
เขี้ยวพิษ (Venom Fangs) เขี้ยวพิษของงูจงอาง มีลักษณะโค้งงอ มีจำนวน 2 ชุดคือ เขี้ยวพิษจริงและเขี้ยวพิษสำรอง เทียบได้กับลักษณะของเข็มฉีดยา เมื่องูจงอางฉกกัด เขี้ยวพิษจะฝังเข้าไปในเนื้อของเหยื่อหรือผู้ที่ถูกกัดและฉีดพิษเข้าสู่ร่างกายของเหยื่อ ลักษณะเขี้ยวพิษของงูจงอางจัดอยู่ในกลุ่ม Proteroglypha ซึ่งเป็นกลุ่มของงูมีพิษที่มีลักษณะเขี้ยวพิษอยู่ด้านหน้าของขากรรไกรด้านบน เขี้ยวพิษทั้ง 2 จะยึดแน่นติดกับขากรรไกรด้านบน หดพับงอเขี้ยวไม่ได้ ลักษณะของเขี้ยวพิษจะไม่ยาวนัก มีร่องตามแนวยาว (Vertical Groove) อยู่บริเวณด้านหน้าของตัวเขี้ยว จำนวน 1 ร่อง เพื่อสำหรับให้น้ำพิษจากต่อมผลิตพิษไหลผ่าน
ลักษณะปลายเขี้ยวพิษของงูจงอางจะแหลมคม เพื่อใช้สำหรับเจาะทะลุเข้าไปในบริเวณผิวหนังของเหยื่อที่ฉกกัดได้โดยง่าย งูจงอางมีเขี้ยวพิษสำรองหลายชุดซึ่งเขี้ยวสำรองจะหลบอยู่ภายในอุ้งเหงือก เมื่อเขี้ยวพิษจริงหักหรือหลุดหลังจากการฉกกัดหรือด้วยสาเหตุใดก็ตาม เขี้ยวพิษสำรองจะเลื่อนขึ้นมาแทนที่เขี้ยวพิษจริง และจะทำหน้าที่แทนเขี้ยวพิษจริงอันใหม่ต่อไป
น้ำพิษ
น้ำพิษ (Venom) น้ำพิษของงูจงอางประกอบไปด้วยส่วนที่เป็นโปรตีนและไม่ใช่โปรตีน น้ำพิษของงูจงอางมีลักษณะเป็นของเหลว สีเหลืองเรื่อ ๆ ไม่มีรสและกลิ่น ส่วนประกอบของน้ำพิษที่เป็นโปรตีน จะมีโปรตีนประกอบอยู่ประมาณ 90% ของปริมาณน้ำพิษทั้งหมด และอีก 10% ที่เหลือจะเป็นส่วนที่ไม่ใช่โปรตีน[14]
น้ำพิษของงูจงอางในส่วนที่เป็นโปรตีน สามารถแบ่งย่อยออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนที่เป็นน้ำพิษจากต่อมผลิตพิษ (Toxin) และส่วนที่เป็นน้ำย่อย (Enzyme)
กะโหลก เขี้ยวและฟัน
กะโหลกศีรษะของงูสามารถแยกแยะวงศ์และสายพันธุ์ได้ โดยดูจากลักษณะของกระโหลก ฟันและ ขากรรไกร ซึ่งงูจงอางเป็นงูขนาดใหญ่ทำให้มีการพัฒนาร่างกายเพื่อการล่าอาหาร และกลืนเหยื่อ ทำให้กะโหลกของงูจงอางไม่เหมือนกับงูและสัตว์กินเนื้อชนิดอื่น ที่สามารถฉีกเหยื่อออกเป็นชิ้น ๆ การกินเหยื่อของงูจงอางจะใช้วิธีการขยอกเหยื่อทั้งตัว สามารถกินเหยื่อที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวของมันเองได้ เนื่องจากขากรรไกรกว้าง โดยอาจจะกินเหยื่อที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวมันได้ ได้โดยการถ่างกระดูกปากและกะโหลกออกจากกัน กะโหลกของงูจงอางถูกสร้างให้ข้างบน ข้างล่าง และกระดูกขากรรไกรสามารถเคลื่อนไปข้างหน้า ข้างหลัง และออกด้านข้างได้โดยอิสระ จากกะโหลก ขากรรไกรล่างจะไม่เชื่อมกับกับคาง สามารถออกไปข้างหน้าได้ เมื่อต้องการ ขยอกเหยื่อมาที่คอหอย
งูจงอางมีเขี้ยว 2 เขี้ยวที่ใหญ่และแข็งแรงกว่าฟันอื่น และมีฟันที่ข้างกรรไกรล่าง โดยจะอยู่ชั้นนอก ส่วนฟันบนชั้นใน สามารถใช้ฟันออกมางับเหยื่อได้อย่างรวดเร็ว ดึงเหยื่อเข้าไปในปาก และขยอกลงไป เขี้ยวของงู จะแตกต่างจากฟันใช้ปล่อยพิษ แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือOpistoglyphous หรือ Rear-Fanged
Proteroglyphous หรือ Front-Fanged
ซึ่ง Rear-Fanged Snakes จะมี 3 สายพันธุ์ ในวงศ์ของ Colubird จะมีเขี้ยว 1 คู่ ส่วน Front-Fanged Snakes คือพวก Burrowing Asps Cobra Mamba และ Kraits Cobra และ Viper Fangs
ขนาดและรูปร่าง
งูจงอางมีลักษณะและรูปร่างที่เหมือน ๆ กัน คือมีขนาดของลำตัวใหญ่และยาว จะแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยในเรื่องของขนาด ซึ่งเกิดจากจากวิวัฒนาการของสายพันธุ์และธรรมชาติเป็นผู้กำหนด งูจงอางเป็นงูพิษที่มีขนาดใหญ่ มีตากลมสีดำใช้สำรวจหาเหยื่อที่อยู่ในระยะไกลได้ ซึ่งการที่งูจงอางมีขนาดใหญ่ สาเหตุหลักเนื่องมาจากต้องการอาหารในการดำรงชีพมาก แต่มีข้อจำกัดด้วยขนาดตัวที่มีขนาดใหญ่ ทำให้การล่าอาหารในบางครั้งอาจเป็นไปด้วยความยากลำบาก และในเรื่องการปรับอุณหภูมิในร่างกายความใหญ่ของร่างกายทำให้ต้องใช้เวลาในการปรับอุณหภูมิเป็นเวลานาน รวมทั้งพฤติกรรมการล่า หาอาหาร และสืบพันธุ์ สามารถขึ้นต้นไม้และอาศัยความเร็วในการจู่โจมเหยื่อ โดยใช้หางในการเกาะเกี่ยวต้นไม้ ทำให้สามารถห้อยตัวลงไปดึงกิ้งก่าหรือนกจากต้นไม้ได้
สีสันของเกล็ด
สีเกล็ดของงูจงอางงูจงอางมีหลายสี เกล็ดของงูจงอางจะเปลี่ยนสีโดยขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศและถิ่นที่อยู่อาศัย โดยปกติทั่วไปจะเปลี่ยนสีสันของเกล็ดได้เล็กน้อย ให้กลมกลืนกับสภาพภูมิประเทศและสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นการอำพรางตัวเองและเหยื่อหรือศัตรู ส่วนมากเกล็ดจะมีสีน้ำตาลอ่อน เหลืองอมน้ำตาล น้ำตาลแก่อมดำ เทาอมดำ เขียวมะกอก ขาวครีมอมเหลืองอ่อน และขาวงาช้างเป็นสีสันของเกล็ดมาตรฐานของงูจงอาง
บริเวณท้องของงูจงอางจะเป็นสีอ่อน มีขอบเกล็ดสีดำลักษณะเป็นปล้องขาว มองคล้ายเส้นเล็ก ๆ ตามขวางอยู่ที่บริเวณเกล็ด เป็นระยะตลอดทั่วทั้งลำตัว ตามปกติถ้าไม่สังเกตจะมองไม่ค่อยเห็น นอกเสียจากเวลาโกรธหรือแผ่แม่เบี้ย ทำให้ลำตัวพองและขยายเกล็ดออกมา หรือเวลากลืนกินเหยื่อจนเกล็ดบริเวณท้องขยายออกจนเห็นได้ชัด ตามปกติปล้องสีขาวนี้จะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนในงูจงอางตัวอ่อนที่มีขนาดเล็ก
งูจงอางเพศผู้จะมีสีสันที่แตกต่างจากงูจงอางเพศเมีย ตามปกติจะมีสีส้มแก่พาดขวางบริเวณใต้ลำคอ รอบขึ้นมาจนถึงบริเวณลำคอแล้วค่อย ๆ จางลงจนกลายเป็นสีเหลืองอ่อน เรียกกันตามภาษาชาวบ้านว่างูคอแดง ซึ่งจะไม่มีในงูจงอางเพศเมีย ซึ่งจะมีสีเหลืองอ่อนจนซีด สีสันของเกล็ดไม่สวยสดและเข้มเหมือนกับงูจงอางเพศผู้ ซึ่งจะมีสีเหลืองอ่อนบริเวณใต้คางและริมฝีปากล่าง ส่วนงูจงอางเพศเมียจะมีสีขาวครีม และเมื่อขดตัวตามธรรมชาติ สีสันของเกล็ดในส่วนอื่น ๆ จะมองไม่ค่อยเห็น แต่จะสามารถสังเกตเห็นสีขาวบริเวณใต้คางได้อย่างชัดเจน ทำให้สามารถแยกแยกได้ว่าตัวไหนเพศผู้เพศเมีย
การสืบพันธุ์
งูจงอางสืบพันธุ์โดยการวางไข่ปีละ 1 ครั้ง โดยมีฤดูผสมพันธุ์ที่แน่นอน ในราวต้นฤดูร้อนระหว่างเดือนมีนาคม - เมษายน วางไข่ครั้งละประมาณ 20 - 30 ฟอง มากที่สุดคือประมาณ 45 ฟอง เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ งูจงอางตัวผู้จะเลื้อยเข้าหางูจงอางตัวเมียที่พร้อมการผสมพันธุ์ ซึ่งในแต่ละครั้งการเข้าหางูจงอางตัวเมียนั้น งูจงอางตัวผู้หลาย ๆ ตัวจะทำการต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงงูจงอางตัวเมีย (Combat Dance) โดยวิธีการฉกกัดและใช้ลำตัวกอดรัดกัน กดให้คู่ต่อสู้ที่เพลี้ยงพล้ำอยู่ด้านล่างให้อ่อนแรงในลักษณะคล้ายกับมวยปล้ำ ผลัดกันรุกผลัดกันรับแต่จะไม่มีการฉกกัดกันจนถึงตาย เมื่องูจงอางตัวผู้ตัวใดอ่อนแรงก่อน ก็จะยอมแพ้และเลื้อยหนีไป
งูจงอางตัวเมียเมื่อได้รับการผสมพันธุ์แล้ว จะมีระยะเวลาการตั้งท้องนานประมาณ 25-70 วัน โดยทั่วไปลักษณะของไข่งูจงอาง จะมีลักษณะเป็นรูปทรงไข่หรือรูปทรงรียาว มีสีขาวถึงสีครีม เปลือกไข่ค่อนข้างนิ่มแต่ไม่แตก (Leathery) และจะมีขนเส้นเล็ก ๆ บริเวณเปลือกไข่สำหรับดูดซับความชื้นภายในรัง ไข่ของงูจงอางจะไม่ติดกันเป็นแพเหมือนกับไข่ของงูกะปะ มีขนาดประมาณ 3.50 - 6.00 เซนติเมตร ลักษณะคล้ายไข่เป็ดและจะฟักออกมาเป็นตัวอ่อนในตอนต้นของฤดูฝนประมาณเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม
ก่อนการวางไข่ งูจงอางตัวเมียจะใช้ลำตัวกวาดเศษใบไม้ร่วง ๆ มากองสุมกัน เพื่อทำเป็นรังสำหรับวางไข่ให้เป็นหลุมลึกเท่ากับขดหางโดยใช้ใบไม้แห้งรองพื้น และหลังจากวางไข่เสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะใช้เศษใบไม้คลุมไข่อีกชั้นหนึ่ง เพื่อเป็นการป้องกันไข่จากศัตรูอื่นเช่นมนุษย์ และจะคอยเฝ้าหวงและดูแลไข่โดยการนอนขดทับบนรังเฝ้าไข่ของมันตลอดเวลาโดยไม่ยอมออกไปหาอาหาร ซึ่งผิดกับงูชนิดอื่น ๆ ที่ส่วนมากมักจะทิ้งไข่ไว้ภายในรัง ให้ฟักออกมาเป็นตัวเองโดยไม่เหลียวแลคอยดูแลและปกป้อง งูจงอางตัวผู้ในฤดูผสมพันธุ์ จะเป็นยามเฝ้ารังและอยู่ใกล้ ๆ บริเวณรัง ในขณะที่งูจงอางตัวเมียจะอยู่แต่ภายในรัง ซึ่งในฤดูกาลผสมพันธุ์และวางไข่จะเป็นช่วงที่งูจงอางดุมากเป็นพิเศษ จะคอยไล่ผู้ที่เดินทางผ่านรังของมัน ส่วนงูจงอางตัวเมียจะอยู่กับไข่ภายในรัง ไม่กวดไล่
เมื่องูจงอางตัวเมียฟักไข่ จะคอยเฝ้าดูแลและรักษาไข่ที่ซ่อนอยู่ในรังเพื่อให้ปลอดภัยจากศัตรูทุกชนิด เมื่อลูกงูฟักเป็นตัวอ่อนหรืองูที่ยังไม่โตเต็มวัย พังพอนเป็นศัตรูตัวฉกาจ และมีชะมด อีเห็นและเหยี่ยวรุ้งคอยไล่ล่า นอกจากนี้ยังมีเห็บเกาะกัดดูดเลือดลูกงูจงอางอีกด้วย ลูกงูจงอางแรกฟักออกจากไข่ จะมีขนาดของลำตัวยาวประมาณ 50 เซนติเมตร โตเท่ากับนิ้วมือ โดยทั่วไปหากไม่เคยรู้จักหรือพบเห็นลูกงูจงอางมาก่อน จะเข้าใจว่าเป็นงูเขียวดอกหมากหรืองูก้านมะพร้าว เนื่องจากมองดูคล้ายคลึงกัน แต่จะมีลักษณะสำคัญที่แตกต่างคือ มีความดุร้ายตั้งแต่ยังเล็ก เมื่อพบเห็นสิ่งใดผิดแปลก จะแผ่แม่เบี้ยอยู่ตลอดเวลา เตรียมพร้อมการจู่โจมทันที
ถึงแม้จะเป็นเพียงลูกงูจงอางแต่พิษของมันก็สามารถทำให้คนหรือสัตว์ตายได้ ลำตัวเป็นสีดำและมีลายสีเหลืองคาดขวางตามลำตัวเป็นระยะ ๆ เริ่มตั้งแต่ปลายหัวจนสุดปลายหาง บริเวณด้านท้องจะเป็นสีเหลืองอ่อน ซึ่งจะเปลี่ยนสีของลำตัวเมื่อลูกงูจงอางเข้าสู่ระยะของตัวเต็มวัย เมื่อมีขนาดของลำตัวประมาณ 0.8 - 1 เมตร ลูกงูจงอางเมื่อลอกคราบใหม่ ๆ จะมีสีสันของเกล็ดที่อ่อนสดใส มองดูเป็นมันเลื่อม ซึ่งจะค่อย ๆ ผันแปรสีสันของเกล็ดให้เป็นสีเข้มทั่วทั้งลำตัว ลักษณะของเกล็ดจะด้าน ที่บริเวณดวงตาจะฝ้าขาวมัว และจะลอกคราบใหม่อีกครั้ง เป็นเช่นนี้ตลอดไป
ถิ่นอาศัยและการล่าเหยื่อ
งูจงอางเป็นงูป่าโดยกำเนิดอย่างแท้จริง โดยจะอยู่กันเป็นคู่ อาศัยอยู่ในระดับสูงกว่าน้ำทะเลได้ถึง 2,000 เมตร บนภูเขาหรือในป่าไม้ งูจงอางจะอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำลำธาร ตามบริเวณซอกหินหรือในโพรงไม้ หรือในป่าไผ่ทึบที่มีไผ่ต้นเตี้ย ๆ จำนวนมาก รวมทั้งในบริเวณป่าไม้ที่มีความชื้นแฉะที่มีความอบอุ่น และมีต้นไม้สูง ๆ หนาทึบ แต่ไม่ใช่ป่าดงดิบที่ไม่ค่อยมีแสงสว่างส่องลอดผ่านมาสู่พื้นดิน และอากาศอบชื้น งูจงอางสามารถขึ้นต้นไม้ได้เป็นอย่างดีและรวดเร็ว แต่ตามปกติแล้วมักจะอยู่ตามพื้นดินมากกว่าอยู่บนต้นไม้
งูจงอางเป็นงูที่ออกล่าเหยื่อได้ทั้งในเวลากลางวันที่มีแสงแดดไม่ร้อนจัดมากนัก และในเวลาพลบค่ำ โดยจะเลื้อยออกไปหาเหยื่อตามถิ่นอาศัยที่มีอาหารชุกชุม อาหารหลักของงูจงอางคืองูชนิดอื่น ๆ เช่น งูทางมะพร้าว งูสิงหางลายหรือแม้กระทั่งงูเหลือมตัวเล็ก ๆ ที่มีขนาดไม่โตนัก นอกจากจะกินงูด้วยกันเองแล้ว ในบางครั้งงูจงอางอาจจะกินสัตว์จำพวกตะกวด กิ้งก่า ตุ๊กแก เหี้ย เป็นอาหารอีกด้วย หรือแม้ในบางครั้งงูจงอางก็กินลูกงูจงอางด้วยกันเอง เคยมีผู้ยิงงูจงอางเพศผู้ได้ และเมื่อผ่าท้องออกพบลูกงูจงอางอยู่ในนั้น แสดงว่างูจงอางกินแม้กระทั่งงูจงอางด้วยกัน เพียงแต่ยังเล็กอยู่เท่านั้น แต่เมื่อโตเต็มวัยก็ยังไม่เคยพบว่างูจงอางกินงูจงอางด้วยกันเอง
การล่าเหยื่อของงูจงอางจะใช้วิธีซุ่มรอคอยเหยื่อในสถานที่ที่เหยื่ออาศัยอยู่ เมื่อเหยื่อเลื้อยหรือผ่านเข้ามาในบริเวณที่งูจงอางซุ่มดักรอคอย จะพุ่งตัวเข้ากัดที่บริเวณลำคอของเหยื่ออย่างรวดเร็ว แล้วจับกินเป็นอาหาร งูจงอางสามารถกลืนเหยื่อที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวของมันเองได้ทั้งตัว โดยเริ่มการบริเวณศีรษะของเหยื่อ ค่อย ๆ ขยอกเข้าไปในปากจนกระทั่งหมด และหลังจากการล่าเหยื่อเสร็จสิ้นลง งูจงอางจะต้องหาแหล่งน้ำเพื่อดื่มน้ำหลังจากที่กินเหยื่อเรียบร้อยแล้ว
คัดลอกจากhttp://th.wikipedia.org/wiki/

วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

“ฮามาน”คือใคร


“ฮามาน” ในอัลกุรอาน
THE WORD "HAMAN" IN THE QUR'AN
ข้อมูลความรู้ในอัลกุรอานที่ได้ระบุไว้เกี่ยวกับอียิปต์โบราณนั้น ได้เปิดเผยถึงเรื่องราวความจริงทางประวัติศาสตร์อย่างมากมาย ที่ไม่เป็นที่เปิดเผยจนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้เอง ข้อเท็จจริงเหล่านี้ยังได้แสดงให้เราได้รู้ว่า ทุกๆคำในอัลกรุอานนั้นกล่าวจากภูมิปัญญาที่แท้จริง ฮามาน เป็นผู้ที่มีชื่อปรากฎในอัลกรุอานคู่กับชื่อ ฟาโรห์ เขาถูกกล่าวถึง 6 ครั้งในที่ต่างกันในอัลกุรอาน ในฐานะบุคคลที่ใกล้ชิดที่สุดของฟาโรห์แต่น่าแปลกใจอย่างยิ่งที่ชื่อ ฮามาน มิได้ถูกกล่าวถึงเลย ในคัมภีร์เตารอต (Old Testament) ส่วนที่กล่าวถึง ชีวิตของท่านนบีมูซา อาลัยฮิสสลาม ( Moses) แต่ไปปรากฏอยู่ในบทสุดท้ายของคัมภีร์ดังกล่าวในฐานะผู้ช่วยของกษัตริย์บาบิโลน ผู้กระทำทารุณชาวยิวอย่างโหดเหี้ยมหลายครั้งเมื่อประมาณ 1,100 ปี หลังจากสมัยนบีมูซา (อล.)
ผู้ที่มิใช่ชาวมุสลิมบางคนกล่าวว่า ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซล) ได้เขียนอัลกุรอานขึ้นมาเอง โดยการคัดลอกจากคัมภีร์เตารอต และคัมภีร์ไบเบิ้ล (New Testament) ในระหว่างการคัดลอกนั้น ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซล) ได้คัดลอกเรื่องราวจากทั้งเตารอตและไบเบิ้ล มาไว้ในอัลกุรอานอย่างผิดๆความไร้สาระของการกล่าวอ้างเหล่านี้ เป็นที่ประจักษ์ชัดเมื่อมีการอ่านอักษรภาพของอียิปต์โบราณออกมาเมื่อประมาณ 200 ปีที่ผ่านมา และชื่อ ฮามาน ก็ถูกพบในต้นฉบับเอกสารโบราณชิ้นนี้
ก่อนหน้าการค้นพบนี้ยังไม่มีใครรู้ความหมายของบันทึก หรือจารึกของชาวอียิปต์โบราณ เนื่องจากในยุคนั้น ภาษาของชาวอียิปต์โบราณเป็นอักษรภาพที่เก่าแก่มาก แต่อย่างไรก็ตามจากการขยายตัวของศาสนาคริสต์ รวมทั้งอิทธิพลทางวัฒนธรรมต่างๆในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 2 และ 3 ชาวอียิปต์ก็ได้ละทิ้งความเชื่ออย่างโบราณๆ รวมไปถึงอักษรภาพด้วย ตัวอย่างอักษรภาพชิ้นสุดท้ายที่เป็นที่รู้จักกันดี ได้แก่ จารึกในปี ค.ศ. 394 ซึ่งหลังจากนั้น ภาษาอักษรภาพเหล่านี้ได้ก็ได้ถูกลืมไป ไม่มีผู้ใดที่สามารถอ่าน และเข้าใจได้อีก ซึ่งนั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 200 ปี ที่ผ่านมาแล้วปริศนาของอักษรภาพอียิปต์โบราณได้ถูกไขออกในปี ค.ศ. 1799 ด้วยการค้นพบแผ่นศิลาจารึก ที่เรียกว่า “โรเซ็ตต้า สโตน” (Rosetta Stone) ซึ่งมีอายุเก่าแก่ถึง 196 ปีก่อนคริสต์กาล ความสำคัญของศิลาจารึกนี้ก็คือ เขียนด้วยอักษร 3 รูปแบบต่างกัน คือ อักษรภาพ อักษรเดโมติก (อักษรภาพอียิปต์โบราณที่ดัดแปลงให้ง่ายขึ้น) และอักษรกรีก และจากอักษรกรีกนี้เองทำให้สามารถถอดความจากบันทึกของชาวอียิปต์โบราณได้
ผู้ที่แปลคำจารึกนี้ได้เสร็จสมบูรณ์ชาวฝรั่งเศส ชื่อ จอง ฟรองซัวส์ ชองปอลลิยง (Jean-Francoise Champollion) ทำให้ทั้งภาษาที่ได้สาบสูญไป และเหตุการณ์ต่างๆที่กล่าวไว้ในจารึก เป็นที่ประจักษ์ และความรู้เกี่ยวกับอารยธรรม ศาสนา และสังคมของชาวอียิปต์โบราณ ก็กลายเป็นเรื่องที่ผู้คนสามารถศึกษาได้ชื่อ ฮามาน นั้น ไม่เป็นที่รู้จัก จนกระทั่งได้มีการถอดความจากอักษรภาพของชาวอียิปต์โบราณในศตวรรษที่ 19 เมื่ออักษรภาพเหล่านั้นได้ถูกถอดความออกมา ก็เป็นที่รู้กันว่า “ฮามาน” ก็คือ บุคคลใกล้ชิดที่คอยช่วยเหลือฟาโรห์ ในฐานะ “หัวหน้าคนงานสกัดหิน” (ภาพข้างบนแสดงถึง คนงานก่อสร้างชาวอียิปต์โบราณ) ประเด็นที่สำคัญยิ่งก็คือ ฮามานได้ถูกกล่าวถึงในอัลกุรอานในฐานะผู้ควบคุมงานก่อสร้างตามคำสั่งของฟาโรห์ นั่นหมายความว่า ข้อมูลความรู้ที่ไม่มีผู้ใดเคยรู้มาก่อนในเวลานั้น กลับปรากฏอยู่ในอัลกุรอานจากการถอดความอักษรภาพนั้น ข้อมูลสำคัญชิ้นหนึ่งได้ระบุถึงชื่อ “ฮามาน” ซึ่งปรากฏอยู่ในจารึกของชาวอียิปต์ และชื่อนี้ยังได้ถูกนำไปไว้ในอนุสาวรีย์แห่งหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ ฮอฟ (Hof Museum) ในกรุงเวียนนา 22 ในพจนานุกรม “ประชาชาติในอาณาจักรใหม่” (People in the New Kingdom) ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อรวบรวม จารึกทั้งหมดนั้น คำว่า “ฮามาน” หมายถึง “หัวหน้าคนงานสกัดหิน” 23
สิ่งนี้แสดงถึงข้อเท็จจริงที่สำคัญมาก ซึ่งแตกต่างไปจากคำยืนยันอย่างผิดๆของฝ่ายที่ขัดแย้งกับอัลกุรอาน โดยที่อัลกุรอานได้ระบุไว้ว่า ฮามาน คือ บุคคลที่มีชีวิตอยู่ในอียิปต์ ในสมัยท่านนบีมูซา(อล) เขาเป็นคนใกล้ชิดของฟาโรห์ และมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับงานก่อสร้าง ยิ่งกว่านั้น อัลกุรอานยังได้บรรยายถึงเหตุการณ์ เมื่อฟาโรห์ได้สั่งให้ฮามานสร้างหอคอยขึ้น ซึ่งก็ตรงกับหลักฐานต่างๆทางโบราณคดี “และฟิรเอาน์กล่าวว่า โอ้ปวงบริพารเอ๋ย ฉันไม่เคยรู้จักพระเจ้าอื่นใดของพวกท่านนอกจากฉัน
โอ้ ฮามานเอ๋ย จงเผาดินให้ฉันด้วย แล้วสร้างโครงสูงระฟ้า
เพื่อที่ฉันจะได้ขึ้นไปดูพระเจ้าของมูซาและแท้จริงฉันคิดว่าเขานั้นอยู่ในหมู่ผู้กล่าวเท็จ” (อัลกุรอาน 28:38)
กล่าวโดยสรุป การปรากฏชื่อ ฮามาน ในจารึกของชาวอียิปต์โบราณนั้น มิได้เพียงแต่ทำให้คำกล่าวอ้างที่ฝ่ายตรงข้ามกับอัลกุรอานที่สรรค์แต่งขึ้นมานั้นหมดความหมาย แต่กลับสนับสนุน ยืนยันถึงความจริงอีกครั้งว่า อัลกุรอานนั้นมาจากพระผู้เป็นเจ้า ในแง่ความมหัศจรรย์ อัลกุรอานได้ถ่ายทอดให้เรารู้ถึงข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ซึ่งไม่ผู้ใดสามารถอธิบาย หรือเข้าใจมาก่อนเลยในช่วงเวลาของท่านศาสดามูฮัมมัด (ซล.)
ตำแหน่งผู้ปกครองอียิปต์ในกรุอาน
TITLES OF EGYPTIAN RULERS IN THE QUR'AN
ท่านนบีมูซา(อล.) (Moses) มิใช่ศาสดาเพียงท่านเดียวที่อยู่ในดินแดนอียิปต์ ตามที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณ ท่านนบียูซูฟ(อล.) (Joseph) ก็เคยอยู่ในอียิปต์เช่นเดียวกัน ก่อนหน้าท่านนบีมูซา(อล.)นานแล้ว
มีบางอย่างที่สอดคล้องกัน ในเรื่องราวของท่านนบีมูซา(อล.) กับท่านนบียูซูฟ(อล.) การกล่าวพระนามผู้ปกครองอียิปต์ ในช่วงเวลาของท่านนบียูซูฟ(อล.) นั้น ในอัลกุรอานใช้คำว่า “มาลิก”(กษัตริย์) “และกษัตริย์ตรัสว่า จงนำเขามาหาฉันสิ ฉันจะแต่งตั้งเขาให้เป็นผู้ใกล้ชิดของฉันเมื่อยูซุฟได้สนทนากับพระองค์แล้ว พระองค์ตรัสว่า แท้จริงท่านอยู่ต่อหน้าเรา เป็นผู้มีตำแหน่งสูงเป็นที่ไว้วางใจ” (อัลกุรอาน 12:54)
แต่ทว่า ผู้ปกครองในช่วงเวลาของท่านนบีมูซา(อล.) กลับเรียกกันว่า “ฟาโรห์” หรือ “ฟิรเอาน์”
“และโดยแน่นอน เราได้ให้แก่มูซาสัญญาณต่างๆ อันแจ่มชัด 9 ประการ ดังนั้น เจ้าจงถามวงศ์วานของอิสรออีล เมื่อเขา(มูซา) มายังพวกเขา ฟิรเอาน์ ได้พูดกับเขาว่า โอ้ มูซา เอ๋ย แท้จริงฉันคิดว่าท่านถูกเวทย์มนต์อย่างแน่นอน” (อัลกุรอาน 17:101)
บันทึกทางประวัติศาสตร์ที่มีในปัจจุบัน แสดงให้เรารู้ถึงเหตุผลของข้อแตกต่างในการเรียกชื่อของผู้ปกครองทั้งสอง คำว่า “ฟาโรห์” นั้นเดิมเป็นชื่อเรียกพระราชวังในสมัยอียิปต์โบราณ ผู้ปกครองในราชวงศ์แต่ก่อนไม่ได้ใช้คำนี้เรียก มาเริ่มใช้ในยุค “อาณาจักรใหม่” (New Kingdom) ของประวัติศาสตร์อิยิปต์ สมัยราชวงศ์ที่ 18 ราวปี 1539 -1292 ก่อนคริสต์กาล และในยุคของราชวงศ์ที่ 20 ในปี 945 -730 ก่อนคริสต์กาล คำว่า “ฟาโรห์” ก็ได้ใช้หมายถึงตำแหน่งที่ควรเคารพยกย่อง
ความมหัศจรรย์ของอัลกุรอานได้ปรากฏให้เราได้รับรู้อีกครั้งหนึ่งว่า ท่านนบียูซูฟ(อล.) (Joseph) มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาของ “อาณาจักรเก่า” (Old Kingdom) ซึ่งคำว่า “มาลิก” ใช้เรียกผู้ปกครองอียิปต์มาก่อนคำว่า “ฟาโรห์” ในทางตรงกันข้าม ในช่วงเวลาของท่านนบีมูซา (อล.) ใน “อาณาจักรใหม่” นั้น ผู้ปกครองอียิปต์จึงจะเรียกกันว่า “ฟาโรห์” เป็นที่แน่ชัดว่า เราต้องมีความรู้ทางประวัติศาสตร์ของอียิปต์เสียก่อน ถึงจะสามารถเห็นข้อแตกต่างนี้ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ประวัติของอียิปต์โบราณก็ได้เลือนหายสาบสูญไปหมดสิ้นในศตวรรษที่ 4 เช่นเดียวกับอักษรภาพ ซึ่งไม่เป็นที่เข้าใจได้ตั้งแต่นั้นมา และเพิ่งจะมีการค้นพบในศตวรรษที่ 19 ดังนั้น จึงไม่ปรากฏความรู้ทางประวัติศาสตร์อียิปต์โบราณอย่างถี่ถ้วนเลย จนกระทั่งอัลกุรอานเผยแพร่ขึ้นมา สิ่งนี้จึงเป็นข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งจากบรรดาหลักฐานข้อเท็จจริงจำนวนมาก ที่พิสูจน์ได้ว่า อัลกุรอานนั้น เป็นวจนะของพระผู้เป็นเจ้า
นักโบราณคดีค้นพบเมืองอิรอม THE ARCHAEOLOGICAL FINDS OF THE CITY OF IRAM
เมื่อต้นปี ค.ศ.1990 หนังสือพิมพ์ชื่อดังฉบับหนึ่งได้ตีพิมพ์เรื่องการค้นพบเมืองอาหรับที่สาบสูญหรือ อุบัร แอตแลนติสแห่งทะเลทราย สิ่งจูงใจให้นักโบราณคดีค้นหาเมืองนี้คือเรื่องราวที่กล่าวไว้ในอัลอัลกุรอานนั่นเอง เรื่องราวของชาวอ๊าดและที่อยู่ของพวกเขาที่อัลกุรอานกล่าวถึงนั้นยังไม่มีการระบุสถานที่ที่แน่นอน การค้นพบสถานที่ดังกล่าวซึ่งเคยเป็นเพียงเรื่องเล่าของชาวเบดูอินเท่านั้น ทำให้การค้นหาสถานที่นี้เป็นสิ่งที่ท้าท้ายและน่าสนใจ นิโคลัส แคลพ นักโบราณคดี เป็นผู้ที่ค้นพบดินแดนในตำนานที่กล่าวไว้ในอัลกุรอาน แคลพเป็นผู้สนใจศาสนาเกี่ยวกับอาหรับและเป็นผู้ทำสารคดีที่ได้รับรางวัล เขาพบหนังสือประวัติศาสตร์อาหรับที่น่าสนใจโดยบังเอิญขณะที่เขาค้นคว้าเรื่องประวัติศาสตร์อาหรับ หนังสือเล่มนี้ชื่อ Arabia Felix เขียนในปี 1932 โดย เบอแทรม โทมัส นักค้นคว้าชาวอังกฤษ โดยบรรยายเกี่ยวกับคาบสมุทรอาหรับตอนใต้ซึ่งปัจจุบันคือประเทศเยเมนและโอมานซึ่งมีชื่อเรียกในภาษากรีกว่า “Eudiamon Arabia”และในภาษาอาหรับเรียกว่า “อัลเยเมน แอสไซดะ”20 ชื่อดังกล่าวนั้นหมายถึง “ชาวอาหรับที่มีโชค” เพราะว่ากลุ่มชนที่อาศัยอยู่ดินแดนนี้ในเวลานั้นเป็นพ่อค้าคนกลางในการค้าขายเครื่องเทศระหว่างคาบสมุทรอาหรับตอนเหนือกับอินเดีย นอกจากนี้ยังสามารถผลิตยางหอมจากไม้หายากซึ่งเป็นสิ่งที่นิยมใช้ในอดีต ไม้หอมนี้ใช้เป็นเครื่องหอมในพิธีทางศาสนาอีกด้วย ไม้หอมนี้มีค่าเทียบเท่าทองคำในสมัยนั้น
เบอแทรม โทมัส นักค้นคว้าชาวอังกฤษที่บรรยายความโชคดีของชนกลุ่มนี้21กล่าวว่า เขาพบร่องรอยของเมืองโบราณนี้ซึ่งเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวเบดูอินในชื่อว่า อูบาร์ ในการเดินทางไปยังดินแดนนี้ ชาวเบดูอินที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายได้พาเขาไปดูเส้นทางที่ไปยังเมือง อูบาร์ แต่ เบอแทรม โทมัส ก็เสียชีวิตลงก่อนที่เขาจะศึกษาสำเร็จ หลังจากที่ นิโคลัส แคลพ ศึกษารายงานที่ เบอแทรม โทมัส เขียนก็มีความเชื่อมั่นในเรื่องดังกล่าวและการค้นหาของเขาก็เริ่มต้นขึ้น นิโคลัส แคลพ พยายามที่จะพิสูจน์เมือง อูบาร์ โดยใช้ 2 วิธีคือ วิธีแรกเขาหาร่องรอยเส้นทางที่ชาวเบดูอินกล่าวถึงโดยใช้ดาวเทียมขององค์การ NASA ถ่ายรูปบริเวณดังกล่าว22 หลังจากความพยายามอย่างหนักเขาก็สามารถโน้มน้าวผู้ที่มีอำนาจให้ถ่ายภาพบริเวณนั้นมาได้ วิธีที่สองนิโคลัส แคลพ ศึกษาแผนที่โบราณที่ห้องสมุดฮินติงตั้นในแคริฟอร์เนีย และเขาก็พบแผนที่ที่วาดโดย ปโตเลมี นักภูมิศาสตร์ชาวกรีก-อิยิปต์ ซึ่งเขียนไว้ใน ค.ศ.200 ซึ่งแผนที่นี้แสดงตำแหน่งและเส้นทางที่จะนาไปสู่เมืองนี้ในขณะเดียวกัน นิโคลัส แคลพ ก็ได้รับภาพถ่ายจากองค์การ NASA ซึ่งสามารถเห็นร่องรอยของเส้นทางที่คาดว่ากองคาราวานจะใช้ในการเดินทาง เมื่อเปรียบเทียบกับแผนโบราณที่ที่ปโตเลมีเขียนแล้วก็เข้ากันได้กับภาพที่ได้จากดาวเทียม และปลายทางของเส้นทางนี้จะนำไปสู่เมืองที่ค้นหาอยู่ ในที่สุดเราก็รู้ตำแหน่งของเมืองในตำนานแห่งนี้และการขุดค้นก็เริ่มขึ้นในเวลาไม่นานเมืองโบราณที่อยู่ใต้ผืนทรายก็ถูกค้นพบและขนานนามว่า “แอตแลนติสแห่งทะเลทราย”แล้วจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเป็นเมืองของชาวอ๊าดที่ถูกกล่าวถึงในอัลกุรอานจริง สิ่งที่เป็นหลักฐานก็คือการค้นพบหอคอยหรืออาคารสูงหลายแห่งซึ่งในอัลกุรอานกล่าวไว้อย่างเจาะจงว่าเมืองอิรอมมีหอคอยหรืออาคารสูง ดร.ซารินหนึ่งในคณะค้นหาเมืองนี้กล่าวว่าหอคอยเป็นลักษณะเด่นของเมืองอูบาและเมืองอิรอมก็ได้รับการกล่าวกันว่ามีหอคอย นี่เป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าสถานที่ที่ถูกขุดค้นพบนี้คือเมืองอิรอม เมืองของชาวอ๊าดที่ถูกกล่าวไว้ในอัลกุรอาน อัลกุรอานกล่าวถึงเมืองอิรอมว่า
“เจ้าไม่เห็นดอกหรือว่าพระเจ้าของเจ้ากระทำต่อพวกอ๊าดอย่างไรอิรอมพวกมีเสาหินสูงตระหง่าน ซึ่งเยี่ยงนั้นมิได้ถูกสร้างตามหัวเมืองต่างๆ”ซูเราะห์อัลฟัจรฺ อายะห์ที่ 6-8
เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าสิ่งที่บอกไว้ในอัลกุรอานเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีตเป็นการยืนยันข้อมูลทางประวัติศาสตร์และเป็นเรื่องจริงนั่นคืออัลกุรอานพระพจนารถของอัลลอฮ์
ชนชาวสะบะอฺและอุทกภัยอะริม
THE PEOPLE OF SABA AND THE ARIM FLOOD
แคว้นสะบะอฺ (ปัจจุบันอยู่ในประเทศเยเมน - ผู้แปล) เป็นหนึ่งในสี่เมืองที่มีวิวัฒนาการก้าวหน้ามากที่สุดในแถบอารเบียตอนใต้แหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับชาวสะบะอฺ กล่าวว่าชุมชนแห่งนี้มีวิถีชีวิตเกี่ยวพันกับการค้าขายเป็นอย่างมาก คล้ายกับชาวฟีนีเซีย (Pheonicia) ชาวสะบะอฺได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ที่มีความเจริญก้าวหน้าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ในหลักจารึกของผู้ปกครองแคว้นสะบะอฺ มีการใช้คำชั้นสูงอย่างคำว่า “ปฏิสังขรณ์” “อุทิศ” และ “สถาปนา” บ่อยครั้ง เขื่อนมาริบ (Marib Dam) เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่สำคัญที่สุดของชาวสะบะอฺ และยังเป็นหลักฐานที่สำคัญที่สุดที่แสดงถึงความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีของชาวสะบะอฺอีกด้วย แคว้นสะบะอฺมีกองทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคนี้ มีการวางนโยบายแผ่ขยายอาณาจักรของตนเองไว้อย่างชัดเจน ซึ่งสามารถทำได้เพราะมีกองทหารที่เข้มแข็ง และด้วยอารยธรรมที่ก้าวหน้าและกองทหารที่เข้มแข็งนี้เอง ทำให้ ชาวสะบะอฺเป็นหนึ่งใน “มหาอำนาจสูงสุด” ของภูมิภาคในยุคนั้นอัลกุรอานกล่าวถึงความเข้มแข็งอย่างที่สุดของกองทหารสะบะอฺไว้ ในซูเราะห์ อันนัมลฺ โดยอ้างถึงคำกล่าวของผู้บัญชาการทหารที่ถวายต่อพระราชินีแห่งแคว้นสะบะอฺว่า “เราเป็นพวกที่มีพลัง และเป็นพวกที่มีกำลังรบเข้มแข็ง (มีกำลังพล และอาวุธยุทโธปกรณ์มากมาย และมีความเข้มแข็งอดทนในการทำสงคราม) สำหรับพระบัญชานั้นเป็นของพระนาง ดังนั้น พระนางได้โปรดตรึกตรองดู สิ่งใดที่พระนางจะทรงบัญชา” (อัลกุรอาน 27: 33)

เมืองหลวงของแคว้นสะบะอฺคือเมืองมาริบ ซึ่งเป็นเมืองที่มีความมั่งคั่งสมบูรณ์อย่างมาก เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ที่มีความได้เปรียบในเชิงภูมิศาสตร์ เมืองหลวงนี้ตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำอัดฮานะห์ (Adhanah) บริเวณที่แม่น้ำไหลมาถึงภูเขาบาลัคนั้นเป็นช่วงที่มีความเหมาะสมอย่างยิ่งในการสร้างเขื่อน ด้วยความได้เปรียบนี้ ชาวสะบะอฺจึงได้สร้างเขื่อนและพัฒนาระบบชลประทานขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับการให้กำเนิดอารยธรรมของตนเอง พวกเขาได้พัฒนาจนมีความเจริญมั่งคั่งอย่างมาก เมืองหลวงมาริบจึงเป็นเมืองที่มีการพัฒนามากที่สุดในเวลานั้น พลีนี่ (Pliny) นักภูมิศาสตร์ชาวกรีก ผู้ที่ได้มาเยือนดินแดนแห่งนี้ ได้แสดงความชื่นชมเป็นอย่างมากและได้บรรยายความอุดมสมบูรณ์ของดินแดนแห่งนี้ไว้ในงานเขียนของเขาด้วย40เขื่อนแห่งมาริบนี้ มีความสูง 16 เมตร กว้าง 60 เมตร และยาวถึง 620 เมตร จากการคำนวณพบว่า พื้นที่ชลประทานทั้งหมดที่ได้รับประโยชน์จากเขื่อนแห่งนี้ มีมากถึง 9,600 เฮคเตอร์ ซึ่งแบ่งออกเป็นบริเวณทุ่งทางตอนใต้ 5,300 เฮคเตอร์ ส่วนที่เหลือเป็นบริเวณทุ่งทางตอนเหนือ โดยมีการอ้างถึงทุ่งทั้งสองแห่งไว้ในหลักจารึกของชาวสะบะอฺ41ว่า “มาริบและทุ่งทั้งสอง” ในอัลกุรอานได้กล่าวถึง “สวนทั้งสองแห่งทางขวาและทางซ้าย” เป็นการชี้ถึงสวนที่สวยงามและไร่องุ่นที่มีอยู่ในทุ่งทั้งสองแห่งนี้ผลจากการมีเขื่อนและระบบชลประทาน ทำให้ดินแดนแห่งนี้เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีว่าเป็นดินแดนที่มีระบบชลประทานดีที่สุดและอุดมสมบูรณ์ที่สุดในประเทศเยเมน นาย เจ. โฮลวี่ (J. Holevy) ชาวฝรั่งเศส และนายเกลเซอร์ (Glaser) ชาวออสเตรีย ได้พบข้อพิสูจน์จากหลักฐานเอกสารต่างๆว่า เขื่อนมาริบแห่งนี้มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ในเอกสารซึ่งเขียนด้วยภาษา ไฮเมอร์ (Himer) ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่น กล่าวว่า เขื่อนแห่งนี้ทำให้อาณาบริเวณดังกล่าวอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก
หากเราพิจารณาอัลกุรอานโดยใช้หลักฐานทางประวัติศาสตร์ข้างต้น เราจะสังเกตเห็นความสอดคล้องตรงกันอย่างยิ่ง หลักฐานทางโบราณคดีและข้อมูลทางประวัติศาสตร์ทั้งสองด้านนั้นตรงกับสิ่งที่มีอยู่ในอัลกุรอาน อายะห์ของอัลกุรอานกล่าวไว้ว่า พวกเขาเหล่านี้ ไม่เชื่อฟังคำแนะนำสั่งสอนของศาสดา และเป็นพวกที่ปฏิเสธความศรัทธาโดยสิ้นเชิง พวกเขาจึงถูกลงโทษโดยให้น้ำท่วมจนตาย อัลกุรอานได้บรรยายถึงอุทกภัยครั้งนี้ไว้ในอายะห์ต่อไปนี้
“โดยแน่นอน สำหรับพวกสะบะอฺนั้น มีสัญญาณหนึ่งในที่อาศัยของพวกเขา มีสวนสองแห่งทางขวาและทางซ้าย พวกเจ้าจงบริโภคจากปัจจัยยังชีพของพระเจ้าของพวกเจ้า และจงขอบคุณต่อพระองค์ อันเป็นดินแดนที่สมบูรณ์และมีพระเจ้าผู้ทรงให้อภัย”
“แต่พวกเขาได้ผินหลัง ดังนั้น เราจึงปล่อยน้ำจากเขื่อนให้ท่วมพวกเขา และเราได้เปลี่ยนให้พวกเขา สวนทั้งสองแห่งของพวกเขาแทนสวนอีกสองแห่ง มีผลไม้ขม และต้นไม้พุ่ม และต้นพุทราบ้างเล็กน้อย เช่นนั้นแหละเราได้ตอบแทนพวกเขา เนื่องจากพวกเขาเนรคุณ และเรามิได้ลงโทษผู้ใด (ด้วยการลงโทษอย่างรุนแรงเช่นนี้) นอกจากพวกเนรคุณ” (อัลกุรอาน 34:15-17)
ในอัลกุรอานนั้น เรียกการลงโทษที่มีต่อชาวสะบะอฺว่า “ไซลัลอะริม” ซึ่งหมายถึง “อุทกภัยแห่งอะริม” ข้อความในอัลกุรอานส่วนนี้ได้แสดงให้เห็นถึงรูปแบบของการเกิดหายนะครั้งนี้ คำว่า “อะริม” หมายถึง เขื่อน หรือผนัง คำว่า “ไซลัลอะริม” จึงแสดงถึงน้ำท่วมที่เกิดจากการพังทลายของเขื่อนแห่งนี้ นักวิเคราะห์อิสลามสามารถตอบปัญหาในเรื่องเวลาและสถานที่ของเหตุการณ์นี้ได้จากข้อความในอัลกุรอานที่กล่าวถึง น้ำท่วมแห่งอะริม ดังที่เมาดูดิ (Mawdudi) แสดงความเห็นไว้ว่า
“จากการใช้ข้อความว่า ไซลัลอะริม นั้น คำว่า “อะริม” มีรากศัพท์มาจากคำว่า “อะริมีน” เป็นภาษาท้องถิ่นทางตอนใต้ของคาบสมุทรอาหรับ ซึ่งหมายถึงเขื่อน หรือผนัง ในซากปรักหักพังใต้พื้นดินในอุโมงค์ที่ขุดขึ้นในประเทศเยเมน มีการใช้คำนี้ในความหมายเดียวกันนี้หลายครั้ง เช่นในหลักจารึกที่สร้างขึ้นโดยกษัตริย์อับรอฮะห์ (Ebraha) ราชวงศ์ฮาเบช (Habesh) แห่งประเทศเยเมน ภายหลังการซ่อมแซมเขื่อนใหญ่แห่งมาริบ ในปี ค.ศ. 542 และ 543 คำนี้ถูกใช้หมายถึง เขื่อน (ผนัง) หลายครั้งด้วยกัน ดังนั้น ข้อความ “ไซลัลอะริม” จึงหมายถึง อุทกภัยน้ำท่วมที่เกิดขึ้นหลังจากการพังถล่มของเขื่อน
“...และเราได้เปลี่ยนให้พวกเขา สวนทั้งสองแห่งของพวกเขาแทนสวนอีกสองแห่ง มีผลไม้ขม และต้นไม้พุ่ม และต้นพุทราบ้างเล็กน้อย...” (อัลกุรอาน 34:16)
หมายถึงเหตุการณ์หลังจากการถล่มของเขื่อน ทั่วทั้งประเทศจมอยู่ใต้น้ำ คลองที่ขุดขึ้นโดยชาวสะบะอฺและกำแพงที่สร้างเชื่อมต่อกันระหว่างภูเขาได้พังทลายลง ระบบชลประทานก็ใช้การไม่ได้ ทำให้อาณาบริเวณซึ่งเคยเป็นสวนที่อุดมสมบูรณ์มาก่อน กลายสภาพเป็นป่าที่ไม่มีไม้ผลเหลืออยู่เลย เหลือเพียงต้นไม้พุ่มเล็กๆ และต้นพุทราเพียงเล็กน้อยเท่านั้น42
นักโบราณคดีชาวคริสเตียน ชื่อ เวอร์เนอร์ เคลเลอร์ (Werner Keller) ผู้เขียนหนังสือชื่อ “The Holy Book Was Right” ยอมรับว่า เหตุการณ์อุทกภัยแห่งอะริมนั้นเกิดขึ้นจริงตามที่ได้บรรยายไว้ในอัลกุรอาน เขายังเขียนยืนยันไว้อีกว่าเขื่อนในลักษณะดังกล่าวนั้นมีอยู่จริง และการล่มสลายของประเทศที่เกิดจากการพังทลายของเขื่อนนั้นเป็นหลักฐานว่า เรื่องราวในอัลกุรอานที่กล่าวถึงประชาชาติในสวนที่อุดมสมบูรณ์นั้นเป็นเรื่องจริง43
หลังจากหายนะจากอุทกภัยแห่งอะริมแล้ว พื้นที่บริเวณดังกล่าวก็แปรเปลี่ยนไปเป็นทะเลทราย และชาวสะบะอฺต้องเสียขุมทรัพย์ที่สำคัญที่สุดของพวกเขาไปพร้อมกับพื้นที่เกษตรกรรมที่สูญสลายไป ประชาชนผู้ซึ่งเพิกเฉยต่อการเชิญชวนให้เชื่อในพระเจ้า และขาดการสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและความเมตตาของพระองค์ ต้องถูกลงโทษด้วยหายนะดังกล่าวในที่สุด
การค้นพบของนักโบราณคดีเกี่ยวกับชาวซะมูด Archaeological Finds About Thamud
ในบรรดาประชาชาติต่างๆ ที่กล่าวไว้ในอัลกุรอานนั้น ชาวซามูตเป็นหนึ่งในประชาชาติที่เรามีข้อมูลความรู้มากที่สุดในปัจจุบัน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่พบในปัจจุบัน ยืนยันว่า ชาวซามูตนั้น มีอยู่จริง
ชุมชนชาวอัลฮิจร ที่กล่าวถึงในอัลกุรอานนั้น เป็นชนชาติเดียวกับชาวซามูต ซึ่งอีกชื่อหนึ่งของชาวซามูตคือ อะชาบ อัลฮิจร คำว่า “ซามูต” เป็นชื่อเรียกของคนในชนชาตินี้ ส่วนอัลฮิจร เป็นเมืองหนึ่งที่สร้างขึ้นโดยชนกลุ่มเดียวกันนี้ นักภูมิศาสตร์ชาวกรีก ชื่อ พลีนี่ (Pliny) เห็นด้วยกับข้อสันนิษฐานนี้ พลีนี่ เขียนถึง เมืองดมาธา (Domatha) และ เฮกรา (Hegra) ว่าเป็นเมืองที่ชาวซามูตอาศัยอยู่ และเฮกราเป็นส่วนหนึ่งของเมืองฮิจร ในปัจจุบัน29
แหล่งข้อมูลเก่าแก่ที่สุดที่กล่าวถึงชาวซามูตคือ บันทึกประวัติศาสตร์แห่งชัยชนะของกษัตริย์ซาร์กอนที่สอง (Sargon II) แห่งอาณาจักรบาบิโลน (ประมาณ 800 ปี ก่อนคริสต์กาล) ผู้ทรงมีชัยชนะเหนือกลุ่มชนนี้ในการสู้รบทางภาคเหนือของคาบสมุทรอาหรับ ชาวกรีกเรียกคนกลุ่มนี้ว่า ซะมูดี (Thamudaei) พวกเขาสาบสูญไปก่อนช่วงเวลาของท่านศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล.) (ประมาณ ค.ศ. 400-600)
ในอัลกุรอานได้กล่าวถึงชาวอ๊าดและชาวซามูตไว้ด้วยกันเสมอ นอกจากนี้ ในหลายอายะห์ของอัลกุรอานได้เตือนชาวซามูต ให้ดูการล่มสลายของชาวอ๊าดเป็นตัวอย่าง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชาวซามูตนั้นรู้จักชาวอ๊าดเป็นอย่างดี
"และพวกท่านจงรำลึกขณะที่พระองค์ได้ทรงให้พวกท่านเป็นผู้สืบช่วงแทนมา หลังจากชาวอ๊าด และได้ทรงให้พวกท่านตั้งหลักแหล่งอยู่ในแผ่นดินส่วนนั้น โดยยึดเอาจากที่ราบของมันเป็นวัง และสกัดภูเขาเป็นบ้าน พวกท่านพึงรำลึกถึงความกรุณาของอัลลอฮ์เถิด และจงอย่าก่อกวนในแผ่นดินในฐานะผู้บ่อนทำลาย "
(ซูเราะห์อัลอะรอฟ: 74)

กำเนิดราชวงศ์อุมาวียะห์



กำเนิดราชวงศ์อุมาวียะห์
ราชวงค์อุมาวียะห์สืบเชื้อสายมาจากอุไมยะห์บุตร อับดุลชัมซ์ บินฮาร์บ บินอับดุลมานาน ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญจากเผ่ากุเรชที่รู้จักกันในช่วงก่อนอิสลาม อุไมยะห์มีคุณลักษณะพิเศษในด้านความกล้าหาญและมีความชำนาญในการทำสงคราม ประกอบกับเป็นบุคคลที่ร่ำรวยจึงกลายเป็นผู้มีอิทธิพลมากกว่าผู้อื่น ซึ่งมาจากเผ่ากุเรชด้วยกัน เช่น เผ่าบินฮาชิมและบนีมุฎตอลิบ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างอุไมยะห์กับบนีชิมและมุฎตอลิบเป็นไปด้วยดีตลอดมา ไม่เคยมีการขัดแย้งระหว่างกัน จนถึงช่วงที่อิสลามได้ปรากฎขึ้นในนครมักกะฮ์ โดยการนำของมุฮัมมัดบินอับดุลลอฮ์ที่มาจากเผ่าบนีฮาชิม ในขณะนั้นทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าทั้งสองเริ่มเสื่อมคลายลง เนื่องจากบนีอุไมยะห์เป็นผู้คัดค้านการเผยแพร่ศาสนาอิสลามอย่างรุนแรง แต่บนีฮาชิมและบนีมุฎตอลิบคอยให้การอุปการะตัวท่านศาสดาและอิสลามตลอดมา ไม่ว่าพวกเขาจะยอมเข้ารับนับถืออิสลามหรือไม่ก็ตาม ส่วนเผ่าบนีอุไมยะห์ไม่ยอมเข้ารับนับถืออิสลาม แต่มาช่วงหลัง ๆ พวกเขาเองเห็นว่าไม่มีลู่ทางอื่นใดที่พวกเขาจะเลือกและเอาชนะต่อท่านศาสดา ซึ่งมีผู้สนับสนุนมากเพิ่มขึ้นทุกวัน เผ่า บนีอุไมยะห์จึงประกาศเข้ารับอิสลามในวันเปิดนครมักกะฮ์นั้นเอง อุมาวียะห์บินอบีซุฟยานได้ประกาศเข้ารับอิสลามในท่ามกลางชุมชนมุสลิม หลังจากนั้นก็มีบุคคลอื่น ๆ จากเผ่าอุไมยะห์ได้เข้ารับนับถือศาสนาอิสลามกันมากมาย
นักประวัติศาสตร์กล่าวว่า จากทุก ๆ เผ่าที่เป็นศัตรูต่อการเผยแพร่ศาสนาอิสลามของท่านศาสดานั้น เผ่าบนีอุไมยะห์เป็นเผ่าที่เข้ารับอิสลามหลังสุด และหลังจากที่เผ่าบนีอุไมยะห์ได้เข้ารับอิสลามแล้ว พวกเขาได้ทำตนเป็นบุคคลที่มีบทบาทและเป็นกำลังอันเข้มแข็งในการเผยแพร่อิสลาม จากความเพียรพยายามของพวกเขาทำให้ความรู้สึกของชาวมุสลิมที่เคยอคติต่อชนเผ่านี้หมดสิ้นไป บทบาทสำคัญของเผ่าบนีอุไมยะห์มีมากมาย เช่น การไปร่วมในการทำสงครามริดดะห์ และสงครามปราบปรามผู้ที่ไม่ยอมจ่ายทานซากาต เวลาต่อมาเผ่าบนีอุไมยะห์ก็ได้เข้าไปบุกเบิกหัวเมืองต่าง ๆ ที่อยู่นอกคาบสมุทรอาหรับ เช่น เมืองที่อยู่ชายฝั่งด้านตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และได้นำอิสลามเข้าสู่ทวีปอัฟริกาอีกด้วย
ผู้ก่อตั้งราชวงศ์มุอาวียะห์

มุอาวียะห์บุตรของ อบีซุฟยานบินฮารับบินอุไมยะห์ เป็นบุคคลคนแรกที่ก่อตั้งราชวงศ์อุมาวียะห์ ราชวงศ์นี้มีอำนาจปกครองอาณาจักรอิสลามยาวนานถึง 50 ปี โดยเริ่มตั้งแต่ 41 – 123 ฮิจเราะฮ์
มุอาวียะห์กำเนิดในนครมักกะฮ์ ก่อนที่ท่านศาสดามุฮัมหมัด ( ศอลฯ ) รับโองการเป็นร่อซูลได้ 5 ปี มุอาวียะห์ได้เข้ารับนับถือศาสนาอิสลามในวันเปิดนครมักกะฮ์ พร้อมกับบุคคลในครอบครัวคือ พ่อ แม่ และยาซีดซึ่งเป็นพี่ชายของท่านเอง ในขณะนั้นมูอาวียะห์อายุได้ 23 ปี
เมื่อครอบครัวของอบีซุฟยานเข้ารับนับถืออิสลามทำให้ชาวมุสลิมปิติยินดีเป็นอย่างมาก ท่านศาสดาเองก็แสดงความดีใจ จึงพยายามที่จะทำให้ครอบครัวอบีซุฟยานและบุคคลอื่น ๆ ตั้งให้มุอาวียะห์เป็นผู้บันทึกโองการของท่านศาสดา จึงเป็นเหตุให้มุอาวียะห์มีความใกล้ชิดกับท่านศาสดามากผู้หนึ่ง ได้รู้และเห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับท่านศาสดา ต่อมามุอาวียะห์ได้กลายเป็นนักรายงานหะดีษที่สำคัญ เนื่องจากท่านได้ยินคำพูดของท่านศาสดาเอง ตลอดจนได้รับรายงานหะดีษจากศอฮาบะฮ์และภรรยาของท่านศาสดา คือ อุมฮาบีบะฮ์ บินตุ อบีซุฟยาน
มุอาวียะห์เริ่มมีบทบาทมากมายเมื่อตอนเกิดสงครามริดดะห์ ซึ่งตรงกับสมัยของท่านอบูบักร์เป็นคอลีฟะห์คนแรก ท่านได้แต่งตั้งให้ยาซีด บุตร อบีซุฟยานเป็ฯแม่ทัพที่นำกำลังไปทำการบุกเบิกเมืองซีเรีย ในขณะที่ยาซีดนำกำลังไปล้อมเมืองดามัสกัด ปรากฎว่ากำลังทหารของโรมันเหนือกว่ากำลังทหารมุสลิม ยาซีดจึงขอกำลังเพิ่มเติม ซึ่งท่านอบูบักได้เตรียมกำลังอย่างมากมาย เพื่อส่งไปสมทบกับกำลังของยาซีด โดยแต่งตั้งให้มูอาวียะห์เป็นหัวหน้านำกองกำลังเข้าปิดล้อมเมืองไซดาและเมืองเบรุต ตลอดจนหัวเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ในแนวชายฝั่งซีเรียได้สำเร็จ ด้วยการใช้เวลาหลายปี ในที่สุดทหารมุสลิมก็ได้รับชัยชนะ ซึ่งตรงกับสมัยของอุมัร บินค๊อตตอบ เป็นคอลีฟะห์ ซึ่งขณะนั้นท่านได้ออกคำสั่งแต่งตั้งให้ยาซีด บุตร อบีซุฟยานเป็นผู้ปกครองเมืองดามัสกัด และได้แต่งตั้งให้มุอาวียะห์ปกครองเมืองจอร์แดน หลังจากนั้นไม่นานยาซีดได้ถึงแก่กรรมลงในปี 18 ฮิจเราะห์ ค่อลีฟะห์อุมัร บิน ค๊อตตอบได้ออกคำสั่งแต่งตั้งให้มุอาวียะห์ปกครองดินแดนทั้งหมดที่อยู่ภายใต้การปกครองของยาซีด
ต่อมาเมื่อสมัยของอุสมาน บิน อัฟฟานเป็นค่อลีฟะห์ ท่านได้แต่งตั้งให้มุอาวียะห์ปกครองเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และมีอำนาจสูงสุด สามารถแต่งตั้งหรือถอดถอนเจ้าเมืองใดตามความประสงค์ของตนเองได้ โดยไม่ต้องรับคำสั่งจากคอลีฟะห์ เมื่อมุอาวียะห์ผนวกแผ่นดินในซีเรียทั้งหมดอยู่ภายใต้อำนาจของตนเพียงผู้เดียว การปกครองของมุอาวียะห์นี้มีลักษณะคล้ายคลึงกับระบอบการปกครองของจักรพรรดิ์โรมันมากที่สุด
เมื่อปี 34 ( ฮ.ศ ) หัวเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้การปกครองของค่อลีฟะห์อุสมาน เช่น อียิปต์ เยเมน และแบกแดด เกิดความไม่พึงพอใจต่อนโยบายการปกครองของค่อลีฟะห์อุสมานที่แต่งตั้งบุคคลใกล้ชินเป็นผู้ปกครองเมืองสำคัญ ๆ เพราะท่านถือว่าสามารถที่จะสร้างความมั่นคงให้เกิดขึ้นได้ จากความไม่พอใจดังกล่าวทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เป็นเหตุให้มีการบุกเข้าสังหารชีวิตค่อลีฟะห์ ในปี 35 ( ฮ.ศ ) จากเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นโอกาสให้มุอาวียะห์มีอำนาจในซีเรียแต่เพียงผู้เดียว ขณะนั้นอาลีขึ้นเป็นค่อลีฟะห์คนต่อมา พวกบนีอุไมยะห์และผู้ที่ให้การสนับสนุนแก่มุอาวียะห์เสนอให้อาลีผู้เป็นค่อลีฟะห์จะต้องดำเนินการอย่างรีบด่วนแก่ผู้ที่สังหารค่อลีฟะห์อุสมาน มิเช่นนั้นตนจะไม่ยอมรับในการเป็นค่อลีฟะห์ของอาลี ส่วนตัวของอาลีเองได้เล็งเห็นว่ากรรณีดังกล่าวนั้นเป็นสิ่งที่มีผลต่อการปกครองอย่างยิ่ง จึงทำให้การสอบสวนกรณีฆาตกรรมต้องล่าช้า ขณะนั้นมุอาวียะห์แสดงออกถึงการเป็นศัตรูกับอาลีและผู้สนับสนุน จนเกิดการต่อสู้และสงครามขึ้นระหว่างกองกำลังทหารมุอาวียะห์กับกองกำลังทหารฝ่ายอาลีที่สมรภูมิศ้อฟเฟนในปี 37 ( ฮ.ศ ) ในการทำสงครามครั้งนี้ปรากฎว่ากองกำลังฝ่ายมุอาวียะห์กำลังเพลี่ยงพล้ำจะเสียเปรียบ ฝ่ายมุอาวียะห์จึงใช้กลวิธีเพื่อทำให้สงครามยุติลง โดยที่ประกาศให้ทั้งสองยุติการต่อสู้กันแล้วมาพิจารณากันตามพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานและซุนนะห์ปรากฎว่าอาลีเห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าว นี้คือจุดเริ่มทำให้เกิดกรแตกแยกในวงการทหารของอาลี ทำให้อาลีต้องแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือผู้ที่ให้การสนับสนุนต่ออาลี ซึ่งเรียกว่า ชีอะฮ์ และผู้คัดค้านต่อการยอมรับของอาลีซึ่งเรียกว่า ค่อวาริจญ์ กลุ่มสุดท้ายเรียกว่าผู้ที่มีความหวังในความโปรดปรานของพระเจ้า
ในปี 40 ( ฮ.ศ ) คอลีฟะห์อาลีได้ถึงแก่กรรม ประชาชนในเมืองกูฟะฮ์ และเมืองแบกแดดได้ร่วมใจกันสถาปนาฮาซัน บินอาลี เป็นค่อลีฟะห์คนต่อมา เนื่องจากฮาซันเล็งเห็นในปัญหายุ่งยากหลายประการที่บิดาท่านได้ประสบมาตลอดเวลาที่เป็นค่อลีฟะห์ ประกอบกับผู้ให้การสนับสนุนท่านจากเมืองกูฟะห์และแบกแดดมีกำลังไม่มาก เมื่อเปรียบเทียบกับกองกำลังทหารของมุอาวียะห์ ฮาซันจึงได้ประกาศมอบอำนาจการปกครองให้แก่มุอาวียะห์เพียงผู้เดียว แม้ว่าจะถูกคัดค้านอย่างรุนแรงจากฮุเซ็น บินอาลีก็ตาม
ในเดือนร่อบีอุ้ลเอาวัล ปีที่ 41 ( ฮ.ศ ) มุอาวียะห์ได้เดินทางไปยังเมืองกูฟะห์เพื่อตกลงกับฮาซัน ซึ่งในขณะนั้นฮาซันและฮูเซ็นได้ให้คำสัตยาบันสนับสนุนแก่มุอาวียะห์ จากนั้นชาวเมืองกูฟะห์ก็พากันมาให้การสัตยาบันแก่มุอาวียะห์ด้วย บรรดานักประวัติศาสตร์เรียกปีนี้ว่า “ ปีแห่งความสามัคคี” เนื่องจากทุกฝ่ายยอมรับต่อผู้ปกครองคนเดียว ต่อจากนั้นมุอาวียะห์ก็ได้ประกาศก่อตั้งกรุงดามัสกัดเป็นราชธานี

เนบิวลา



เนบิวลา (อังกฤษ: nebula - มาจากภาษาละติน nebula (พหูพจน์ nebulae) หมายถึง "หมอก") เป็นกลุ่มเมฆหมอกของฝุ่น แก๊ส และพลาสมาในอวกาศ เดิมคำว่า "เนบิวลา" เป็นชื่อสามัญ ใช้เรียกวัตถุทางดาราศาสตร์ที่เป็นปื้นบนท้องฟ้าซึ่งรวมถึงดาราจักร (กาแล็กซี) ที่อยู่ห่างไกลออกไปจากทางช้างเผือก (ตัวอย่างเช่น ในอดีตเคยเรียกดาราจักรแอนดรอเมดาว่าเนบิวลาแอนดรอเมดา (Andromeda Nebula)
ประเภทของเนบิวลา
เราอาจจำแนกเนบิวลาได้ตามลักษณะของการส่องสว่าง ดังนี้
เนบิวลาสว่าง
เนบิวลาสว่าง (Diffuse nebula) เป็นเนบิวลาที่มีลักษณะฟุ้ง มีแสงสว่างในตัวเอง แบ่งเป็น
เนบิวลาเปล่งแสง
เนบิวลาเปล่งแสง (Emission nebula) เนบิวลาเปล่งแสงเป็นเนบิวลาที่มีแสงสว่างในตัวเอง เกิดจากการเรืองแสงของอะตอมของไฮโดรเจนที่อยู่ในสถานะไอออน ในบริเวณ H II region เนื่องจากได้รับความร้อนจากดาวฤกษ์ภายในเนบิวลา ซึ่งโดยทั่วไปแล้วก็คือดาวฤกษ์เกิดใหม่ที่เนบิวลานั้นสร้างขึ้นนั่นเอง การเรืองแสงนั้น เกิดขึ้นเนื่องจากอิเลกตรอนอิสระกลับเข้าไปจับกับไอออนของไฮโดรเจน และคายพลังงานออกมาในช่วงคลื่นที่ต่างๆ โดยค่าความยาวคลื่น เป็นไปตามสมการ E=hc/λ เมื่อ E เป็นพลังงานที่อะตอมของไฮโดรเจนคายออกมา h เป็นค่าคงตัวของพลังค์ c เป็นความเร็วแสง และ λ เป็นความยาวคลื่น
เนื่องจากเนบิวลาเปล่งแสง จะเปล่งแสงในช่วงคลื่นที่เฉพาะตัวตามธาตุองค์ประกอบของเนบิวลา ทำให้มีสีต่างๆกัน และการวิเคราะห์สเปกตรัมของเนบิวลาชนิดนี้ จะพบว่าสเปกตรัมเป็นชนิดเส้นเปล่งแสง (Emission Lines) และสามารถวิเคราะห์ธาตุองค์ประกอบ หรือโมเลกุลที่เป็นส่วนประกอบของเนบิวลาได้อีกด้วย เนบิวลาชนิดนี้ ส่วนใหญ่จะมีสีแดงจากไฮโดรเจน และสีเขียวจากออกซิเจน บางครั้งอาจมีสีอื่นซึ่งเกิดจากอะตอม หรือโมเลกุลอื่นๆ ก็เป็นได้ ตัวอย่างเนบิวลาเปล่งแสงได้แก่ เนบิวลาสว่างใหญ่ในกลุ่มดาวนายพราน (M42 Orion Nebula) เนบิวลาอเมริกาเหนือในกลุ่มดาวหงส์ (NGC7000 North America Nebula) เนบิวลาทะเลสาบในกลุ่มดาวคนยิงธนู (M8 Lagoon Nebula) เนบิวลากระดูกงูเรือ (Eta-Carinae Nebula) เป็นต้น
เนบิวลาสะท้อนแสง
เนบิวลาสะท้อนแสง (Reflection nebula) เนบิวลาสะท้อนแสงเป็นเนบิวลาที่มีแสงสว่างเช่นเดียวกับเนบิวลาเปล่งแสง แต่แสงจากเนบิวลาชนิดนี้นั้น เกิดจากการกระเจิงแสงจากดาวฤกษ์ใกล้เคียงที่ไม่ร้อนมากพอที่จะทำให้เนบิวลานั้นเปล่งแสง กระบวนการดังกล่าวทำให้เนบิวลาชนิดนี้มีสีฟ้า องค์ประกอบหลักของเนบิวลาชนิดนี้ที่ทำหน้าที่กระเจิงแสงจากดาวฤกษ์คือฝุ่นระหว่างดาว (Interstellar dust) การกระเจิงแสงของฝุ่นระหว่างดาวเป็นกระบวนการเดียวกับการกระเจิงแสงของฝุ่นในบรรยากาศซึ่งทำให้ท้องฟ้ามีสีฟ้า ตัวอย่างเนบิวลาสะท้อนแสง เช่น เนบิวลาในกระจุกดาวลูกไก่บริเวณดาวเมโรเป เนบิวลาหัวแม่มด (Witch Head Nebula) เนบิวลา M78 ในกลุ่มดาวนายพราน เป็นต้น เนบิวลาชนิดนี้บางครั้งก็พบอยู่เป็นส่วนหนึ่งของเนบิวลาเปล่งแสง เช่น เนบิวลาสามแฉก (Trifid Nebula) ที่มีทั้งสีแดงจากไฮโดรเจน สีเขียวจากออกซิเจน และสีฟ้าจากการสะท้อนแสง เป็นต้น
เนบิวลาดาวเคราะห์
เนบิวลาดาวเคราะห์ (Planetary nebula) เนบิวลาดาวเคราะห์เป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการในช่วงสุดท้ายของดาวฤกษ์มวลน้อย และดาวฤกษ์มวลปานกลาง เมื่อมันเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของชีวิต ไฮโดรเจนในแกนกลางหมดลง ส่งผลให้ปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ภายในแกนกลางยุติลงด้วย ทำให้ดาวฤกษ์เสียสมดุลระหว่างแรงดันออกจากความร้อน กับแรงโน้มถ่วง ทำให้แกนกลางของดาวยุบตัวลงเข้าหาศูนย์กลางเนื่องจากแรงโน้มถ่วงของตัวมันเอง จนกระทั่งหยุดเนื่องจากแรงดันดีเจนเนอเรซีของอิเล็กตรอน กลายเป็นดาวแคระขาว เปลือกภายนอกและเนื้อสารของดาวจะหลุดออก และขยายตัวไปในอวกาศ เป็นเนบิวลาดาวเคราะห์ซึ่งไม่มีพลังงานอยู่ แต่มันสว่างขึ้นได้เนื่องจากได้รับพลังงานจากดาวแคระขาวที่อยู่ภายใน เมื่อเวลาผ่านไปดาวแคระขาวก็จะเย็นตัวลง และเนบิวลาดาวเคราะห์ก็จะขยายตัวไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจางหายไปในอวกาศ
เนบิวลาดาวเคราะห์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับดาวเคราะห์ ชื่อนี้ได้มาจากลักษณะที่เป็นวงกลมขนาดเล็กคล้ายดาวเคราะห์เมื่อสังเกตจากกล้องโทรทรรศน์นั่นเอง ตัวอย่างของเนบิวลาชนิดนี้ได้แก่ เนบิวลาวงแหวน ในกลุ่มดาวพิณ (M57 Ring Nebula) เนบิวลาดัมเบลล์ (M27 Dumbbell Nebula) เนบิวลาตาแมว (Cat’s eye Nebula) เนบิวลาเกลียว (Helix Nebula) เป็นต้น
ซากซูเปอร์โนวา
ซากซูเปอร์โนวา (Supernova remnant) สำหรับดาวฤกษ์มวลมากนั้น จุดจบของดาวจะรุนแรงกว่าดาวฤกษ์มวลน้อยและมวลปานกลางเป็นอย่างมาก ดาวจะสามารถจุดปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ฟิวชันของธาตุที่หนักกว่าไฮโดรเจนและฮีเลียมได้ จนกระทั่งเกิดขี้เถ้าเหล็กขึ้นในในกลางของแกนดาว เหล็กเป็นธาตุที่มีความพิเศษ เนื่องจากไม่ว่าอุณหภูมิจะสูงเท่าใด ก็จะไม่สามารถฟิวชันเหล็กให้เป็นธาตุอื่นได้อีก เมื่อความดันที่แกนสูงขึ้นเกินกว่าแรงดันดีเจนเนอเรซีของอิเลกตรอนจะต้านไหว อิเลกตรอนทั้งหมดจะถูกอัดรวมกับโปรตอนกลายเป็นนิวตรอน และอนุภาคนิวตริโน ทำให้อิเลกตรอนในแกนกลางหายไปจนเกือบหมด แรงดันดีเจนเนอเรซีของอิเลกตรอนที่ทำให้แกนกลางคงสภาพอยู่ได้นั้นก็หายไปด้วย ทำให้แรงโน้มถ่วงอัดแกนกลางลงเป็นดาวนิวตรอนในทันที เกิดคลื่นกระแทกพลังงานสูงมาก กระจายออกมาในทุกทิศทาง ปลดปล่อยพลังงานออกมามากกว่าดาราจักรทั้งดาราจักร สาดผิวดาวและเนื้อสารออกไปในอวกาศด้วยความเร็วสูงมาก แรงดันที่สูงมากนี้ทำให้เกิดธาตุหนักเช่นทองคำขึ้นได้ เรียกการระเบิดครั้งสุดท้ายของดาวนี้ว่า ซูเปอร์โนวา
ซากที่เหลืออยู่ของแกนกลางจะประกอบไปด้วยนิวตรอนทั้งดวง เรียกว่า ดาวนิวตรอน ซึ่งมีความหนาแน่นสูงมาก ดาวนิวตรอนทั่วไปมีขนาดราว 10-20 กิโลเมตร แต่มีมวลเท่ากับดวงอาทิตย์ทั้งดวง เนื้อสารของดาวนิวตรอน 1 ช้อนชา มีมวลถึง 120 ล้านตัน แกนกลางนี้เข้าสู่สมดุลใหม่ จากแรงดันดีเจนเนอเรซีของนิวตรอน แต่ในบางกรณีที่ดาวฤกษ์มีมวลสูงมาก คือมากกว่า 18 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ เศษซากจากซูเปอร์โนวาจะตกกลับลงไปบนดาวนิวตรอน จนดาวนิวตรอนมีมวลเกินกว่า 3 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ ซึ่งเกินขีดจำกัดของดาวนิวตรอน ทำให้ดาวนิวตรอนยุบตัวลงกลายเป็น หลุมดำ
สำหรับซากของผิวดาวและเนื้อสารของดาวฤกษ์ที่ถูกสาดออกมาเนื่องจากซูเปอร์โนวานั้น จะเหลือเป็นซากซูเปอร์โนวา ซึ่งเปรียบเสมือนอนุสาวรีย์ของดาวฤกษ์มวลมาก ตัวอย่างซากซูเปอร์โนวาที่สำคัญ ได้แก่เนบิวลาปู (M1 Crab Nebula) ในกลุ่มดาววัว ซึ่งเป็นซากของซูเปอร์โนวาที่เกิดขึ้นหลายพันปีก่อน และถูกบันทึกไว้ในบันทึกของชาวจีน เนบิวลาผ้าคลุมไหล่ (Veil Nebula) ในกลุ่มดาวหงส์ ซากของซูเปอร์โนวาทีโค (SN1572 Tycho’s nova) ซากของซูเปอร์โนวาเคปเลอร์ (SN1640 Kepler’s nova) ซากของซูเปอร์โนวา SN1987A เป็นต้น
การศึกษาซากซูเปอร์โนวานั้น จะช่วยให้นักดาราศาสตร์สามารถคำนวณย้อนกลับ เพื่อหาอายุของซากได้ ทำให้สามารถรู้เวลาที่เกิดซูเปอร์โนวาในอดีต จากการคำนวณความเร็วของคลื่นกระแทกได้อีกด้วย
เนบิวลามืด
เนบิวลามืด (Dark nebula) เนบิวลามืดมีองค์ประกอบหลักเป็นฝุ่นหนาเช่นเดียวกับเนบิวลาสะท้อนแสง แต่เนบิวลามืดนี้ไม่มีแหล่งกำเนิดแสงอยู่ภายในหรือโดยรอบ ทำให้ไม่มีแสงสว่าง เราจะสามารถสังเกตเห็นเนบิวลามืดได้เมื่อมีเนบิวลาสว่าง หรือดาวฤกษ์จำนวนมากเป็นฉากหลัง จะปรากฏเนบิวลามืดขึ้นเป็นเงามืดด้านหน้าดาวฤกษ์หรือเนบิวลาสว่างเหล่านั้น ตัวอย่างเนบิวลามืดที่มีฉากหลังเป็นเนบิวลาสว่าง เช่น เนบิวนารูปหัวม้าอันโด่งดังในกลุ่มดาวนายพราน (Horse Head Nebula) เป็นต้น และตัวอย่างของเนบิวลามืดที่มีฉากหลังเป็นดาวฤกษ์จำนวนมาก เช่น เนบิวลางู (B72 Snake Nebula) เป็นต้น
ฟิสิกส์ดาราศาสตร์ของเนบิวลา
บริเวณเอช 2 เป็นแหล่งกำเนิดดาวฤกษ์ ก่อตัวขึ้นเมื่อเมฆโมเลกุลเริ่มยุบตัวลงภายใต้ความโน้มถ่วงของตนเอง มักมีสาเหตุจากการระเบิดของซูเปอร์โนวาใกล้เคียง การชนของเมฆและฝุ่นเหล่านั้น บางครั้งก็อาจก่อให้เกิดดาวฤกษ์นับร้อย ๆ ดวง ดาวที่เกิดใหม่นี้จะทำให้แก๊สโดยรอบแตกตัวเป็นไอออน เป็นผลให้เกิดเนบิวลาเปล่งแสงในเวลาต่อมา
เนบิวลาชนิดอื่น ๆ เกิดจากดาวฤกษ์ที่ตายแล้ว ซึ่งหมายถึงดาวที่มีพัฒนาการไปถึงขั้นของการเปลี่ยนแปลงไปสู่ดาวแคระขาว (white dwarf) มีการเป่าชั้นผิวด้านนอกของดาวออกไปโดยรอบจนเกิดเป็นเนบิวลาดาวเคราะห์ (planetary nebula) สำหรับโนวา (nova) และซูเปอร์โนวา (supernova) นั้น สามารถก่อให้เกิดเนบิวลาได้เช่นกัน เรียกว่าซากโนวา (nova remnant) และซากซูเปอร์โนวา (supernova remnant) ตามลำดับ

ความมหัศจรรย์ของคัมภีร์อัลกุรอาน


ความมหัศจรรย์ของคัมภีร์อัลกุรอาน
ถ้าใครสักคนหนึ่งจะออกมาอ้างตัวว่าเป็นเจ้าของทฤษฎีหรือสัจธรรมอะไรสักอย่าง คนผู้นั้นก็จะต้องมีหลักฐานและข้อพิสูจน์มายืนคำกล่าวอ้างของตน โดยเฉพาะในยุคก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ยิ่งถ้าเป็นการกล่าวอ้างเกี่ยวกับเรื่องพระเจ้าและสิ่งที่มองไม่เห็นหรือการอ้างตัวเป็นศาสดาด้วยแล้วยิ่งต้องมีหลักฐานและข้อพิสูจน์มายืนยันให้เป็นที่ชัดเจนยิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีก
เมื่อตอนที่นบีมูซาได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้าให้เป็นศาสนทูต (รอซูล) ของอัลลอฮฺเพื่อนำสาส์นของพระองค์ไปยังลูกหลานของอิสราเอลนั้น ผู้คนของท่านได้ขอให้ท่านแสดงหลักฐานอะไรบางอย่างเพื่อยืนยันสาส์นของท่านและการเป็นศาสนทูตของท่าน
เนื่องจากผู้คนในสมัยนั้นเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญเรื่องคาถามายากล อัลลอฮฺก็ได้ประทานปาฏิหาริย์แก่นบีมูซาประเภทเดียวกับที่ผู้คนของท่านรู้จักกันดีทั้งนี้เพื่อที่ปาฏิหาริย์นั้นจะได้เป็นที่ชัดเจนแก่พวกเขา กล่าวคือ พระองค์ให้ประทานไม้เท้าที่จะกลายเป็นงูใหญ่ซึ่งจะกินงูเล็กที่พวกนักคาถามายากลและพวกพ่อมดหมอผีสร้างขึ้นมา (นี่เป็นหนึ่งในบรรดาปาฏิหาริย์ที่นบีมูซาได้รับ) ปาฏิหาริย์ที่อัลลอฮฺประทานแก่นบีมูซาได้ทำให้บรรดานักคาถามายากลเกิดความเชื่อมั่นในศาสนาของท่าน ดังนั้น พวกนักคาถามายากลจึงได้ยอมก้มกราบต่อพระอัลลอฮฺก่อนที่จะขออนุญาตต่อฟาโรห์และรู้ดีถึงสัจธรรมที่นบีมูซานำพร้อมกับปาฏิหาริย์เป็นสิ่งยืนยัน
ผู้คนในสมัยนบีอีซาก็มีความรู้ในเรื่องการรักษาโรค ดังนั้น อัลลอฮฺจึงได้ช่วยเหลือท่านด้วยการประทานปาฏิหาริย์ในลักษณะที่ผู้คนของท่านมีความรู้ นั่นคือ การทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาด้วยการอนุมัติของพระองค์เช่นเดียวกับการรักษาคนตาบอดให้มองเห็นและคนโรคเรื้อนให้หายจากโรคดังกล่าว
คัมภีร์อัลกุรอานกล่าวว่า : “ฉันได้มายังพวกท่านพร้อมกับสัญญาณหนึ่งจากพระผู้อภิบาลของพวกท่าน คือฉันปั้นดินเป็นรูปนกต่อหน้าพวกท่าน แล้วฉันจะเป่าเข้าไปในมัน แล้วมันจะกลายเป็นนกโดยอนุมัติของอัลลอฮฺ และฉันรักษาคนตาบอดและคนโรคเรื้อนและให้ชีวิตแก่คนตายโดยอนุมัติของอัลลอฮฺ และฉันแจ้งให้พวกท่านรู้ถึงสิ่งที่ท่านกินและสิ่งที่พวกท่านสะสมในบ้านของพวกท่าน แท้จริง ในนั้นมีสัญญาณสำหรับพวกท่าน ถ้าพวกท่านเป็นผู้ศรัทธา” (กุรอาน 3:49)
เนื่องจากคำสอนนบีมูซาและนบีอีซานำมานั้นเป็นคำสอนสำหรับชนชาติของท่านเป็นการเฉพาะและยังไม่ได้เป็นคำสอนที่สมบูรณ์ตลอดกาลสำหรับมนุษยชาติ ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีผู้นำคำสอนตลอดกาลมายังมนุษยชาติ ด้วยเหตุนี้ อัลลอฮฺจึงได้ทรงกำหนดให้ท่านนบีมุฮัมมัดเป็นนบีคนสุดท้ายที่จะนำคำสอนตลอดกาลสำหรับมนุษยชาติมา
คำสอนของนบีมุฮัมมัดจึงเป็นตราประทับของคำสอนทั้งหมดที่นบีก่อนหน้านี้นำมาและเป็นคำสอนที่เพียงพอสำหรับมนุษยชาติตราบจนถึงวันสิ้นโลก เพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าวจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่อัลลอฮฺจะทรงช่วยเหลือนบีมุฮัมมัดด้วยปาฏิหาริย์ที่จะดำรงอยู่ตราบจนถึงวันสิ้นโลก และนั่นก็คือคัมภีร์อัลกุรอานที่ประกอบไปด้วยเรื่องราวของบรรดาคนก่อนหน้านี้และเรื่องราวของบรรดาผู้ที่จะมาหลังจากนั้น
หลักฐานที่เชื่อถือได้ที่สุดสำหรับการยืนยันว่านบีของมุฮัมมัดเป็นรอซูล (ศาสนทูต) ถูกเก็บไว้ในคัมภีร์เล่มนี้เป็นเวลา 14 ศตวรรษโดยไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงตั้งเริ่มต้นจนถึงวันนี้และก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงจนถึงวันสุดท้าย ถึงแม้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจะมีการท้าทายของบรรดาผู้ที่คิดจะเปลี่ยนแปลงมัน แต่ความพยายามของคนเหล่านั้นก็ต้องประสบความล้มเหลว เพราะอัลลอฮฺถือว่าเป็นหน้าที่ของพระองค์ที่จะรักษาหลักฐานเหล่านั้นไว้
บางคนถามว่า “ถ้ามุฮัมมัดเป็นนบีคนสุดท้ายแล้ว เราจำเป็นต้องมีข้อพิสูจน์ยืนยันคำกล่าวอ้างที่เกี่ยวข้องกับยุคสมัยของเราเหมือนกับที่ได้กล่าวมาก่อนหน้านี้”
คำตอบก็คือ ในคัมภีร์อัลกุรอานมีความจริงมากมายหลายอย่างซึ่งได้ถูกประทานมาเมื่อ 14 ศตวรรษก่อนหน้านี้ แต่วิทยาศาสตร์เพิ่งจะมาค้นพบเมื่อเร็วๆนี้และได้ยืนยันปาฏิหาริย์ของนบีมุฮัมมัด นั่นคือ คัมภีร์อัลกุรอาน ต่อไปนี้เป็นหลักฐานเพียงบางส่วนที่ยืนยันถึงเรื่องนี้ :
1) อัลลอฮฺได้กล่าวไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานว่า : “พระองค์ได้ให้ทะเลทั้งสอง (น้ำเค็มและน้ำจืด) มาบรรจบกันอีกครั้งหนึ่ง ระหว่างทั้งสองนั้นคือแนวขวางกั้นมิให้ทั้งสองล้วงล้ำกัน แล้วความโปรดปรานอันใดเล่าของพระผู้อภิบาลของสูเจ้าทั้งสอง (ญินและมนุษย์) ที่สูเจ้าจะมาปฏิเสธ?” (กุรอาน 55: 19-21)
วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วถึงการมีอยู่ของแนวขวางกันน้ำซึ่งแยกน้ำจืดและน้ำเค็มออกจากกันภายในมหาสมุทรและทะเลรอบโลก แนวที่ขวางกั้นนี้ถูกดาวเทียมนอกโลกถ่ายภาพได้ แล้วใครที่บอกให้มุฮัมมัดผู้ไม่รู้หนังสือและอาศัยอยู่ในทะเลทราย ไม่เคยนั่งเรือหรือเห็นมหาสมุทรให้รู้ถึงความจริงทางด้านวิทยาศาสตร์ดังกล่าว ?
2) วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้ค้นพบขั้นตอนการวิวัฒนาการของตัวอ่อนในมดลูกของแม่ เรื่องนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นหลังจากโลกได้มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์และได้มีการพูดกันอย่างยืดยาวในศตวรรษที่ 20 นี้เอง แต่คัมภีร์อัลกุรอานได้พูดถึงความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่ชัดเจนในสมัยที่ผู้คนยังใช้อูฐ ม้า ลาและล่อเป็นยานพาหนะ
อัลลอฮฺได้กล่าวไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานว่า : “มนุษย์เอ๋ย ถ้าหากสูเจ้ายังสงสัยคลางแคลงเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพหลังความตายอยู่ สูเจ้าจงรู้ไว้เถิดว่าเราได้สร้างสูเจ้ามาจากดินในตอนแรก หลังจากนั้นก็จากหยดอสุจิ แล้วก็จากก้อนเลือด แล้วก็จากก้อนเนื้อทั้งที่เป็นรูปร่างสมบูรณ์หรือไม่เป็นรูปร่าง ก็เพื่อที่จะทำให้ความจริงเป็นสิ่งที่ง่ายสำหรับสูเจ้าและเราได้ทำให้อสุจิที่เราประสงค์เหล่านั้นอยู่ในมดลูกชั่วระยะเวลาที่กำหนดไว้ หลังจากนั้น เราก็ให้สูเจ้าคลอดออกมาเป็นทารกหลัง จากนั้น เพื่อสูเจ้าจะได้บรรลุวัยผู้ใหญ่และในหมู่สูเจ้านั้นอาจมีบางคนที่ถูกเรียกกลับก่อนและบางคนที่กลับไปสู่วัยอันน่าสังเวชเพื่อที่เขาจะไม่รู้อะไรเลยหลังจากที่ได้รู้ทุกสิ่งที่เขาสามารถแล้วและสูเจ้าได้เห็นแผ่นดินแห้งแล้ง แต่เมื่อเราได้ส่งน้ำฝนลงมาบนมัน มันก็ร่วนซุยและทำให้พืชพันธุ์หลากชนิดมีชีวิตงอกเงยออกมา” (กุรอาน 22:5)
ใครบอกมุฮัมมัดเกี่ยวกับความรู้ที่ถูกซ่อนเร้นนี้ ?จะมีใครเสียอีกนอกจากอัลลอฮฺนั่นเอง ทั้งนี้เพื่อที่กุรอานจะได้เป็นสาส์นอันนิรันดรและเป็นสาส์นสุท้ายของบรรดาสาส์นที่มาก่อนหน้านี้จนกระทั่งถึงวันสิ้นโลก
3) อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานว่า : “บรรดาผู้ปฏิเสธไม่พิจารณาหรือว่าชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินในตอนแรกนั้นเป็นมวลเดียวกัน หลังจากนั้น เราได้แยกมันออกจากกัน และเราได้สร้างทุกสิ่งที่มีชีวิตจากน้ำ ? แล้วพวกเขายังไม่เชื่ออีกหรือ ?” (กุรอาน 21:30)
เป็นไปได้อย่างไร ? ใครบอกนบีมุฮัมมัดว่าโลกและชั้นฟ้าเคยรวมอยู่ด้วยกันเป็นมวลเดียว ? อัลลอฮฺผู้ทรงเลือกนบีมุฮัมมัดให้เป็นนบีคนสุดท้ายและเป็นศาสนทูตของพระองค์ยังมนุษยชาติต่างหาก
ดังนั้น ลองพิจารณาหลักฐานดังกล่าวมาข้างต้นนี้และลองคิดถึงเรื่องการสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดิน กลางวันและกลางคืน ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ มหาสมุทรและทะเลและสิ่งมีชีวิตอีกมากมายสุดคณานับที่อาศัยอยู่ในนั้นดู สิ่งเหล่านี้ไม่มีผู้สร้างที่คอยควบคุมมันไว้เพื่อมนุษยกระนั้นหรือและการที่อัลลอฮทรงควบคุมมันไว้นั้นมิได้มีวัตถุประสงค์อะไรหรือเป็นเรื่องยิ่งใหญ่เลยกระนั้นหรือ ?
ถ้าหากใครสักคนจะใช้เงินของตนโดยไม่รู้ว่าใช้ไปเพื่ออะไร เราก็จะถือว่าคนผู้นั้นเป็นคนไร้ความคิด แล้วอัลลอฮฺกับจักรวาลอันยิ่งใหญ่นี้เล่า ? อัลลอฮฺทรงสร้างมันขึ้นมาโดยไร้วัตถุประสงค์และประโยชน์กระนั้นหรือ ? ความจริงแล้ว อัลลอฮฺได้ทรงสร้างจักรวาลมาเพื่อวัตถุประสงค์อันยิ่งใหญ่ กล่าวคือ เพื่อที่เราจะได้เคารพภักดีพระองค์และยอมตนต่อพระองค์และปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้องของพระองค์
ไม่มีทางใดไปสวรรค์นอกจากหนทางของท่านนบีมุฮัมมัดเพียงทางเดียวเท่านั้น ยังมีเหตุผลอีกมากมายที่จะมายืนยันในเรื่องนี้ แต่อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเครื่องบอกทางง่ายๆสำหรับใครก็ตามที่มีหัวใจและสามารถได้ยินและมองเห็น จงคิดถึงสิ่งเหล่านั้นและยืนยันด้วยตัวของคุณเองและปฏิบัติตามสิ่งที่ถูกต้องก็แล้วกัน เพราะปลายทางชีวิตของคุณก็คือสวรรค์หรือไม่ก็นรก

วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

นก(Bird)


นก
จัดเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังชนิดหนึ่งซึ่งอยู่ในชั้น Aves (คำว่า Aves เป็นภาษาละติน หมายถึง นก) โดยมีลักษณะทั่วไปคือ เป็นสัตว์ทวิบาท ลือดอุ่น ออกลูกเป็นไข่ รยางค์คู่หน้า เปลี่ยนแปลงไปเป็นปีก มีขนนก และมีกระดูกที่กลวงเบา
ในปัจจุบันทั่วโลกมีนกอยู่ประมาณ 8,800 ถึง 9,800 ชนิด (ตามการจัดอนุกรมวิธานที่ต่างกัน) ซึ่งนับว่านกเป็นชั้นของสัตว์มีกระดูกสันหลังที่มีความหลากหลายมากที่สุด ในบรรดาชั้นของสัตว์มีกระดูกสันหลังทั้งหลายที่อาศัยอยู่บนพื้นดิน ความหลากหลายของนกนับเนื่องไปตั้งแต่ในเรื่องของขนาดตัว สีสัน เสียงร้อง อาหารการกิน และถิ่นที่อยู่อาศัย
นกเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญเป็นอันมากทั้งต่อระบบนิเวศและต่อชีวิตมนุษย์ ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับนกเป็นไปอย่างแน่นแฟ้น และการเกื้อกูลกันระหว่างนกกับสรรพสิ่งต่าง ๆ ตามธรรมชาติก็เป็นไปอย่างแนบแน่น
[แก้ไข] นก ความหัศจรรย์ของการสร้างแห่งพระผู้เป็นเจ้า
อัลลอหฺพระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาให้มนุษย์ไตร่ตรองเรื่องการสร้างของพระองค์ เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าพระองค์ทรงมีอยู่จริง พระองค์ทรงยกเอานกและการบินของนกเป็นอุทาหรณ์ที่บ่งบอกถึงการสร้างของพระผู้ทรงมีความสามารถ เป็นหลักฐานที่บ่งบอกแน่ชัดว่า นกไม่ได้มาจากปลาที่พัฒนาปีกของตนขึ้นมาเองแล้วบินไปในท้องฟ้าอย่างที่พวกดาร์วินิสต์เชื่อกัน
”พวกเขาไม่ได้เห็นนกที่อยู่เบื้องบนพวกเขาดอกหรือ? พวกมันกางปีกและหุบปีก ไม่มีผู้ใดจะจับดึงพวกมันได้ นอกจากพระผู้ทรงกรุณาปราณี แท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นทุกสรรพสิ่ง” (อัลกุรอาน 67:19)
การบินของนกเป็นความมหัศจรรย์ที่มนุษย์ในอดีตและปัจจุบันพยายามขบคิดอยู่ตลอดเวลา ในอดีต การบินเป็นปริศนาสำหรับมนุษย์ และพวกเขาพยายามค้นหาคำตอบตลอดมา ในเวลาปัจจุบันเมื่อมนุษย์ได้ค้นพบวิธีการบินแล้ว มนุษย์ก็ยังฉงนต่อกลไกของปีกนก เพราะมนุษย์ยังไม่สามารถสร้างปีกเครื่องบินให้ได้เท่าเทียมกับปีกนกได้
ในเวลาหลายปีที่ผ่านมา มนุษย์ได้สร้างเครื่องบินและปรับปรุงปีกเครื่องบินให้ดีขึ้นโดยการศึกษาปีกของนก ความโค้งของปีกนกทำให้เกิดแรงยกที่ต้องการเพื่อต้านแรงโน้มถ่วงที่ดึงลงมา แต่เมื่อเอียงปีกขึ้นมากเกินไป จะเกิดการติดขัดขึ้นได้ เพื่อเลี่ยงการติดขัดนี้ ที่ขอบหน้าของปีกนกจึงมีแถวขนซึ่งจะโผล่ออกเมื่อมุมเอียงของปีกมีมากขึ้น แผ่นขนเหล่านี้จะคงรักษาแรงยกไว้โดยกันไม่ให้กระแสอากาศแยกจาก พื้นผิวปีก อีกสิ่งหนึ่งที่จะควบคุมลมแปรปรวน และป้องกัน “การติดขัด” คือ ขนอะลูลา ขนนกกระจุกเล็กๆ ซึ่งนกจะกระดกขึ้นได้เหมือนนิ้วหัวแม่มือ
ตรงปลายปีกของทั้งนกและเครื่องบินจะมีกระแสอากาศวนเกิดขึ้นและทำให้เกิดแรงต้าน นกจะ ลดแรงต้านนี้โดยสองวิธี นกบางชนิด เช่น นกแอ่นและนกอัลบาทรอสมีปีกที่ยาวเรียงปลายแหลม ปีกแบบ นี้จะขจัดกระแสอากาศวนได้เกือบหมด นกชนิดอื่น เช่น เหยี่ยวตัวใหญ่และนกแร้งมีปีกกว้างซึ่งจะทำให้เกิดกระแสวนได้มาก แต่นกจะแก้ปัญหานี้ด้วยการกางขนที่ปลายปีกออกกว้างเหมือนกางนิ้วมือ โดยวิธีนี้ทำให้ปลายปีกที่ไม่แหลมกลายเป็นปลายแหลมหลาย ๆ แฉกซึ่งจะลดกระแสอากาศวนและแรงต้าน
นักออกแบบเครื่องบินได้นำรูปแบบต่าง ๆ ของปีกนกเหล่านั้นไปใช้ ในการพัฒนาปีกเครื่องบิน ความโค้งของปีกเครื่องบินทำให้เกิดแรงยกตัว ปีกเล็ก และกระโดงต่าง ๆ ช่วยควบคุมกระแสอากาศ หรือเป็นตัวช่วยห้ามล้อ เครื่องบินลำเล็กบางชนิดลดแรงต้านที่ปลายปีกโดยการติดแผ่นแบนตั้งฉากกับพื้นผิวปีก อย่างไรก็ตาม ปีกเครื่องบินที่มนุษย์สร้างขึ้นนั้น ก็ยังไม่อาจเทียบกับกลไกอันมหัศจรรย์ในปีกนกได้
เรียบเรียงโดย นัชมุดดีน ตอฮีรี

นบีสุไลมานกับ ยิว


นบีสุไลมานไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคำกล่าวอ้างของพวกเขา(ยิว)
มีทฤษฎีมากมายเกี่ยวกับฟรีเมสัน ในฐานะมุสลิมเราสมควรที่จะยอมรับเฉพาะสิ่งที่มีหลักฐานยืนยันจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ฟรีเมสันมีวาระที่พวกเขาจำต้องทำงานกันอย่างต่อเนื่อง จุดกำเนิดของความเชื่อของพวกเขานั้นอ้างถึงท่านนบีสุลัยมานอลัยฮิสลาม พวกเขาอ้างว่ารอบบริเวณมัสยิดอัลอักซอเป็นที่ตั้งวิหารของนบีสุลัยมาน พวกเขาพยายามที่จะค้นหาบางสิ่งที่ถูกฝังเอาไว้ใต้มัสยิดอัลอักซอ ต่อจากนี้เราจะได้ทราบเรื่องราวของพวกเขาผ่านการบอกเล่าที่ถูกกลั่นกรองมาจากชีวประวัติของนบีสุลัยมาน
ท่านนบีสุลัยมานได้รับความโปรดปราณจากอัลลอฮฺด้วยอำนาจเวทย์มนต์ไสยศาสตร์ ซึ่งชาวยะฮูดได้อ้างว่าการใช้เวทย์มนต์ไสยศาสตร์นั้นเป็นการทำตามแบบอย่างของนบีสุลัยมาน ในคัมภีร์ของชาวยิวบอกไว้ว่านบีสุลัยมานได้ใช้ประโยชน์จากไสยศาสตร์ผ่านasmodeus อัสโมดีอุส ซึ่งเป็นหัวหน้าของชัยตอน เขาได้สั่งการให้ลูกน้องของเขาก่อสร้างวิหารให้นบีสุลัยมาน และได้สอนวิชาไสยศาสตร์ให้แก่นบีสุลัยมาน เขาสื่อสารกับสุลัยมานด้วยพิธีกรรมและรหัสลับต่างๆซึ่งกลุ่มฟรีเมสันได้รับสืบทอดมาจากสมัยของนบีสุลัยมาน คุณจะพบว่าพวกเขามีแนวความคิดต่างๆอ้างอิงถึงวิหารของโซโลมอนซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจสูงสุดของพวกเขา ไม่ว่าการใช้ไสยศาสตร์จากคาบาลา หรือจากที่แห่งใดก็ตามพวกเขาได้เรียนก็ถือได้ว่าเป็นการทำตามแบบอย่างของนบีสุลัยมาน ทว่าสิ่งที่พวกเขากล่าวอ้างนั้นล้วนเป็นการสืบสานกันมาจากลูกหลานในเชื้อสายยิวมิได้มีส่วนโยงไปถึงนบีสุลัยมานแต่อย่างใด ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วพวกเขาได้เรียนมาจากที่ใดจนตกทอดมาถึงยุคปัจจุบัน เรามิได้กล่าวถึงมายากลง่ายๆเช่นการซ่อนเหรียญ แต่เป็นไสยศาสตร์ที่เป็นอันตราย วิทยากลซึ่งใช้กันในสมัยของฟิรเอาวน์ เป็นวิทยากลที่ใช้ในการลวงตา ส่วนวิทยากลที่พวกเขาได้เรียนจากบาบิโลนคือวิทยากลที่ใช้ในการสะกดจิต ในประวัติศาสตร์ชาวยิวถูกกวาดล้างโดยเนบูคัตเนสซาร์ ซึ่งอัลลอฮฺลงโทษชาวยิวโดยในครั้งนั้นถือเป็นจุดที่ชาวยิวถูกตัดออกจากสารบบศาสนาอันบริสุทธ์ของอัลลอฮฺ ศาสนาของพวกเขาถูกบิดเบือนไปจากคัมภีร์ดั้งเดิมของพวกเขาในศาสนายูดายโดยฝีมือของเหล่ารับไบซึ่งมีอิทธิพลอยู่ในบาบิโลน จากฮาดีษที่อบูซัรได้ถามถึงบ้านของอัลลอฮฺหลังแรกบนแผ่นดินซึ่งนบีมูฮัมมัด(ซ.ล.)บอกว่านั่นมัสยิดฮะรอม ส่วนหลังที่สองคือมัสยิดอัลอักซอ ซึ่งระยะเวลาสร้างห่างกัน40ปี ซึ่งเป็นช่วงระหว่างชีวิตของนบีอิบรอฮีมและยะกูบอลัยฮิสลาม เมื่อถึงยุคสมัยของนบีสุไลมานท่านได้ขยายอาณาบริเวณมัสยิดอัลอักซอจนกว้างขวาง ซึ่งอยู่ใกล้กับบริเวณวังของท่าน ซึ่งพวกยิวได้อ้างถึงตำนานต่างๆของวิหารแห่งนี้ล้วนบิดเบือนออกไปจากความจริง อัลลอฮฺได้กล่าวไว้ในซูเราะฮฺบะกอเราะอายะฮฺที่101-102ว่า
และเมื่อใดก็ตามที่รอซูลจากอัลลอฮ์มายังพวกเขา เป็นผู้ยืนยันคัมภีร์ที่มีอยู่กับพวกเขา ชาวคัมภีร์กลุ่มหนึ่งก็จะโยนคัมภีร์ของอัลลอฮ์ไว้ข้างหลัง ประหนึ่งว่าพวกเขาไม่รู้อะไร
และ (แทนที่จะปฏิบัติตามกุรอาน) พวกเขาได้เริ่มปฏิบัติตาม (วิทยากล) ที่พวกวายร้ายได้อ้างอย่างผิด ๆ ว่ามันมาจาก (ความยิ่งใหญ่แห่ง) อาณาจักรสุลัยมาน ทั้งที่ความจริงแล้ว สุลัยมานมิได้เกี่ยวข้องกับการปฏิเสธ แต่พวกมารร้ายที่พร่ำสอนวิชาไสยศาสตร์ให้แก่ผู้คนต่างหากที่ปฏิเสธ พวกเขาปฏิบัติตามสิ่งที่ถูกส่งมายังฮารูตและมารูต มลาอิกะฮ์สองคนที่บาบิล (บาบิโลน) เมื่อใดก็ตามที่มลาอิกะฮ์ทั้งสองได้สอนไสยศาสตร์แก่ผู้ใด เขาทั้งสองจะเตือนล่วงหน้าไว้อย่างชัดเจนว่า เราเป็นเพียงการทดลองอย่างหนึ่งเท่านั้น ดังนั้น พวกท่านจงอย่าปฏิเสธ แต่ถึงแม้จะเตือนแล้ว คนเหล่านั้นก็ได้เรียนจากมลาอิกะฮ์ทั้งสองซึ่งวิชาที่เป็นสาเหตุให้เกิดการ แตกแยกระหว่างสามี และคู่ครองของเขา ถึงแม้จะเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่สามารถทำอันตรายแก่ผู้ใดโดยใช้ไสยศาสตร์ได้ หากปราศจากการอนุมัติของอัลลอฮ์ แต่พวกเขาก็ยังคงเรียนสิ่งที่ให้โทษแก่พวกเขาและไม่ได้ให้คุณแก่พวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขารู้ดีว่าผู้ใดที่ซื้อวิชานี้จะไม่มีส่วนใดในปรโลกสำหรับเขาเลย ช่างชั่วช้าเสียนี่กระไร สำหรับสิ่งที่พวกเขาได้ขายตัวของพวกเขาไป เพื่อมัน ถ้าหากว่าพวกเขารู้

นักตัฟซีรกล่าวว่านบีสุลัยมานทราบว่าผู้คนได้เรียนรู้ไสยศาสตร์จาชัยตอนและใช้ในทางที่ชั่ว นบีสุลัยมานท่านจึงสั่งเก็บคัมภีร์ต่างๆที่ผู้คนได้เรียน และนำไปเผาและฝังเอาไว้ ส่วนใครที่เรียนไสยศาสตร์ก็จะถูกประหารชีวิต เพื่อไม่ให้มีใครอาจร่ำเรียนและทดลองวิชาไสยศาสตร์อีกต่อไป
อ้างอิงจากงานของอิบนุกะษีร อัลบิดายะ วะนิฮายะ (จุดเริ่มต้นและจุดจบ)
นบีสุลัยมานได้รับอำนาจปกครองควบคุมชัยตอนจากอัลลอฮฺทว่าผู้คนต่างแพร่ข่าวลือว่านบีสุลัยมานได้ใช้วิชาไสยศาสตร์เพื่อควบคุมชัยตอน อัลลอฮฺได้โต้แย้งพวกเขาด้วยอายะฮฺกุรอานข้างต้น ว่านบีสุลัยมานมิได้ใช้ไสยศาสตร์ ทว่าพวกปฏิเสธศรัทธาต่างหากที่ได้เรียนไสยศาสตร์จากชัยตอน ในกุรอานอัลลอฮฺได้แย้งด้วยผู้ที่สอนและแหล่งที่มาของไสยศาสตร์ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริง ซึ่งกุรอานได้บอกชัดเจนว่า วิชานี้เริ่มต้นใช้กันในบาบิโลนต่างหาก เมื่ออ่านกุรอานก็ควรรับฟังข้อมูลให้ครบถ้วน ฮารูตและมารูตเป็นมลาอิกะฮฺที่มาสอนเวทย์มนต์แก่มนุษย์ และเขาได้ย้ำแก่มนุษย์ว่าสิ่งนี้เป็นการทดสอบ(ฟิตนะ)เพื่อให้เขาไม่ปฏิเสธการศรัทธา ทว่ามนุษย์กับนำไปใช้เพื่อตอบสนองอารมณ์ใฝ่ต่ำของพวกเขา มลาอิกะฮฺที่มาสอนมิได้ฝ่าฝืนคำสั่งของพระองค์ วิชานี้จึงได้สืบทอดกันต่อไปในลูกหลานของพวกเขา ส่วนใหญ่พวกเขาใช้เพื่อทำให้สามีภรรยาแตกแยกกัน วิชาไสยศาสตร์สามารถใช้กับสิ่งอื่นๆได้อย่างหลากหลาย เช่นการนำวัตถุแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายของคน ในฮาดีษหนึ่ง ชาวยิวได้ใช้ไสยศาสตร์กับท่านรอซูลและนำของไปทิ้งไว้ในบ่อน้ำ เนื่องจากเวทย์มนต์สามารถทำให้มนุษย์มีอำนาจเหนือธรรมชาติได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตั้งล้ออนุมัติให้มันเกิดขึ้น
อัลลอฮฺได้สอนวิธีในการรักษาผลของเวทย์มนต์ด้วยซูเราะฮฺอันนาส เวทย์มนต์นั้นเป็นสิ่งที่เป็นอันตรายและไม่ก่อประโยชน์ เหล่าพ่อมดหมอผียอมแลกตัวเองให้ได้รับผลประโยชน์จากเวทย์มนต์ พวกเขาใช้มันเพื่อทำร้ายและหลอกลวงผู้คน ในพิธีกรรมของพวกเขาจำต้องใช้สิ่งต่างๆในการทำสัญญากับญิน เช่น เส้นผม ชิ้นส่วนมนุษย์ งู เลือด แมลง ผู้คนเหล่านี้ได้ร่ำเรียนในสิ่งที่อัลลอฮฺไม่ได้สั่งใช้ ท่านอุมัรได้เคยส่งคนนำสารไปทั่วหัวเมืองเพื่อประกาศห้ามการทำมาหากินของนักไสยศาสตร์ซึ่งเป็นการงานของชัยตอน ฮะดีษหนึ่งนบีได้บอกว่า ชัยตอนจะไปรายงานผลงานของตนแก่หัวหน้าของมัน และแจ้งข่าวดีแก่หัวหน้าว่า ฉันสามารถทำให้สามีภรรยาแตกแยกกันได้ หัวหน้าจึงกล่าวชมเชยมัน
อัลลอฮฺได้ตอบรับดุอาของนบีสุลัยมาน ซึ่งท่านได้ขอให้อาณาจักรของท่านเป็นอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถทำได้อีก อาณาจักรของท่านเป็นอาณาจักรที่พิเศษอย่างที่สุด ท่านมีอำนาจปกครองชัยตอน ซึ่งพวกมันต้องทำงานรับใช้ท่านในงานที่มนุษย์ทำได้ยาก แต่ยะฮูดีได้กล่าวหานบีสุลัยมานว่าถูกครอบงำโดยชัยตอน ซึ่งความจริงท่านได้รับอำนาจปกครองพวกมัน เมื่อท่านกลับสู่ความเมตตาของอัลลอฮฺและปลวกได้กัดกินไม้เท้าที่ท่านใช้ค้ำยัน จนร่างของท่านล้มลง ชัยตอนที่ทำงานรับใช้ท่านมาตลอดถึงจะรู้ตัว อัลลอฮฺได้กล่าวไว้ในกุรอานเพื่อตอบโต้ยะฮูด ด้วยอายะฮฺที่ว่า
พวกเขา (ญิน) ทำงานให้เขา (สุลัยมาน) ตามที่เขาต้องการ (เช่นสร้าง) ปราสาทหลายแห่งที่สูงตระหง่าน และบรรดาหุ่นจำลอง และบรรดาโคมใส่อาหารมีขนาดเท่าบ่อน้ำและบรรดาหม้อสำหรับหุงอาหารตั้งอยู่กับ ที่ พวกเจ้าจงทำงานเถิด วงศ์วานของดาวู๊ดเอ๋ย! ด้วยการขอบคุณ และส่วนน้อยแห่งปวงบ่าวของเราที่เป็นผู้ขอบคุณ
ครั้นเมื่อเราได้กำหนดความตายแก่เขา มิได้มีสิ่งใดบ่งชี้แก่พวกเขาถึงความตายของเขา นอกจากปลวกใต้ดินแทะกินไม้เท้าของเขา ดังนั้น เมื่อเขาล้มลงพวกญินก็รู้อย่างชัดแจ้งว่า หากพวกเขารู้ในสิ่งพ้นญาณวิสัยแล้ว พวกเขาจะไม่ต้องมาทนทุกข์ทรมานที่น่าอดสูเช่นนี้
ซูเราะอัซซะบา 13-14
ซึ่งพวกเขาอ้างว่าญิณสามารถรู้สิ่งเร้นลับหรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หากพวกญิณสามารถรู้อนาคตได้คงไม่ถูกลงโทษอย่างน่าอัปยศเช่นนี้ สิ่งที่ลัทธินี้กำลังปฏิบัติสืบทอดกันมาล้วนวางอยู่บนรากฐานแห่งความบิดเบือน ซึ่งทำให้ผู้คนหลงผิด ในที่สุดแล้วการงานของพวกเขาก็จะประจักษ์ชัดถึงความล้มเหลวอย่างแน่นอน

เรียบเรียงจาก
Ibn yaseen anti shaytaan product

กำแพงเหล็กซุลกอรนัยน์


เรียบเรียงโดย นัชมุดดีน ตอฮีรี

เรื่องจริงหรือนิยายกำแพงเหล็กซุลกอรนัยน์
กำแพงเหล็กที่ซุลกอรนัยน์ได้สร้างขึ้นมาเป็นเวลานานแล้วดังปรากฏในอัล กุรอานซูเราะฮฺกะฟิกับคำสัญญาของอัลลอฮฺที่ว่า
เขากล่าวว่า นี่คือความเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าของฉัน ดังนั้น เมื่อสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าของฉันมาถึงพระองค์จะทรงทำให้มันพังทลาย และสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าของฉันนั้นเป็นจริงเสมอ
ในปี ค.ศ. 643 อาณาจักรอิสลามแผ่ขยายไปถึง เดอร์เบนท์ ในดินแดนดาเกสตาน คอร์เคซัส คอลิฟะฮฺอุมัรได้ส่งกลุ่มนักสำรวจมุสลิมออกไปเพื่อค้นหา กำแพง ที่สร้างขึ้นโดยซุลกอรนัยน์ ซึ่งได้มีการกล่าวถึงในซูเราะฮฺอัลกะฮฺฟิ กำแพงนี้มีวัตถุประสงค์ดำริให้สร้างขึ้นเพื่อป้องกันผู้คนจาก ญะยูจ (ก๊อก) และ มะยูจ(มาก๊อก) หลังจากได้รับรายงานการค้นจากกลุ่มนักสำรวจ คอลิฟะฮฺอุมัร จึงสรุปว่า กำแพงนั้น ตั้งอยู่ที่ เดอร์เบนท์ ฮาฟิซอิบนุกะซีร กล่าวถึงซุรกอรนัยน์ว่า เป็นกษัตริย์ผู้เคร่งครัดอยู่ในศาสนาท่านหนึ่ง ผู้มีชีวิตร่วมยุคสมัยเดียวกับศาสดาอิบรอฮีม และท่านได้ร่วมเดินตอวาฟรอบกะบะพร้อมกับศาสดาอิบรอฮีมอีกด้วยกษัตริย์ท่านนั้นน่าจะเป็นกษัตริย์ผู้ปกครองสองดินแดนของชาวมีเดียนและชาวเปอร์เซียซึ่งร่วมยุคสมัยกันกับอาณาจักรบาบิโลนที่ท่านนบีอิบรอฮีมอาศัยอยู่ เขาขยายอาณาจักรออกไปในทิศทางเดียวกับที่กุรอานบอกนั่นคือด้านทิศตะวันออก ตะวันตกและทิศเหนือ ท่านยึดถือพระเจ้าเพียงองค์เดียว ในศาสนาที่ท่านได้รับเวลานั้นคือโซโรแอสเตอร์อันบริสุทธ์
มีบางคนอ้างว่าซุลกอรนัยน์คือ alexander the great อันเนื่องมาจากเขาขยายอาณาจักรจนไปพบกับกำแพงแห่งหนึ่งในเดอร์เบนท์ และให้ชื่อใหม่ว่า gate of alexander ซึ่งเดิมทีก่อนหน้านี้ ที่นี่มีชื่อว่า Caspian Gates
เนื่องมาจากนิยายลวงโลกที่ว่า เขาต้องการคุมขังประชาชาติอันชั่วช้า ก๊อกและมาก๊อก ไว้เบื้องหลังกำแพงเหล็ก อันไปคล้ายคลึงกับบทบาทของซุลกอรนัยน์ในกุรอาน มันมาทีหลังชัดชัด แถมยังเป็นพวกบูชาเทพเจ้าหลายองค์อีกด้วย
การสำรวจของนักสำรวจในยุคปัจจุบัน อย่างมาร์โคโปโลและคณะเดินทางของเซอร์จอนแมนเดอวิลกลับไม่พบประชาชาติที่ถูก คุมขังเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม เซอร์จอน เชื่อว่าประชาชาตินี้คือเผ่าที่สิบสองของประชาชาติอิสราเอลซึ่งถูกคุมขังอยู่และจะทลายกำแพงออกมาช่วยยิวกำจัดพวกคริสเตียนในยุคสุดท้าย
แม้กระทั่งในมหากาพย์ลวงโลกอย่างลอร์ดออฟเดอะริงก็นำเค้าโครงเรื่องราวของ กำแพงแห่งนี้ไปสร้างนิยายมาแล้วโดยตั้งชื่อกำแพงแห่งหนึ่งซึ่งสร้างขึ้น ระหว่างช่องแคบเพื่อป้องกันการรุกรานว่าแบล็กเกตออฟมอร์ดอร์
ความรู้เพิ่มเติมแด่ผู้อ่าน: ดา เกสตานตั้งอยู่ใกล้กับเชชเนีย เชเชนย่า ทั้งสองเป็นรัฐอิสลามซึ่งตั้งอยู่ในคอเคซัสซึ่งถูกครอบครองโดย U.S.S.R. ตั้งอยู่ระหว่างทะเลดำและทะเลแคสเปี้ยน และดินแดนแห่งนี้มีหลักฐานทางอารยธรรมซึ่งบ่งบอกว่ามีคนตั้งถิ่นฐานก่อนคริ สตกาลถึงสองพันปี ดินแดนแห่งนี้ถูกรุกรานนับครั้งไม่ถ้วนมากว่าสหัสวรรษ และเคยเป็นเป้าหมายในการครอบครองโดยเยอรมันนีเพราะเป็นแหล่งทรัพยากรน้ำมัน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
http://www.islam-is-the-only-solution.com/gmz.htm
http://en.wikipedia.org/wiki/Caucasian_wall

วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

อิมาม บุคอรียฺ


อิมาม บุคอรียฺ
เจ้าของหนังสือหะดีษอันดับหนึ่ง

เรียบเรียงโดย อิบนู ซอและห์ ตอฮีรี
หลังจากยุคของเหล่าเศาะฮาบะฮ์ผู้ทรงเกีรยติ อิมาม บุคอรีย์นับเป็นปราชญ์ที่โดดเด่นมากที่สุดคนหนึ่ง ที่ได้มอบความปลื้มติให้กับอุมมะฮ์อิสลาม หลักฐานอันสำคัญที่สุดในเรื่องนี้ก็คือตำรับตำราหะดีษที่ท่านได้รวบรวมไว้ซึ่งเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อ เศาะฮีย์ อัล บุคอรีย์ อันเป็นที่ถูกยอมรับกันโดยทั่วไปว่าเป็นหนังสือที่ถูกต้องมากที่สุดรองจากอัล กุรอาน
ชีวิตในวัยเด็ก
อิมาม อบู อับดุลลอฮ์ มูฮัมมัด บิน อิสมาอีล อัล บุคอรีย์เกิดในวันที่ 13 เดือนเชาวัล ปี194 ฮิจญ์เราะฮ์ศักราช ในเมืองแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงคือเมืองบุคอรอปัจจุบันอยู่ในประเทศอุเบกิสถาน บิดาของอิมาม บุคอรีย์มีชื่อว่า อิสมาอีล บิน มุฆีเราะฮ์ อัล ญะอ์ฟีเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ในวิชาหะดีษและเป็นผู้ที่มีความสมถะ อิมามบุคอรีย์ได้รับมรดกอันเป็นคุณลักษณะพิเศษในด้านความกระตือรือร้นและความเป็นเลิศในงานวิชาการ
อิมาม บุคอรีย์ สูญเสียบิดาขณะที่อายุยังน้อย ดังนั้นมารดาของท่านจึงรับภาระหน้าที่ทั้งหมดในการเลี้ยงดู อิมาม บุคอรีย์กลายเป็นคนตาบอดตั้งแต่เยาว์วัย เขาได้ไปหาหมอที่มีความเชี่ยวชาญและมีชื่อเสียงในขณะนั้นแต่การรักษาของหมอกลับไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ แม่ของเขาเป็นผู้เคร่งครัดในการทำอิบาดะฮ์และเป็นผู้หญิงที่มีคุณธรรมสูงส่ง นางร้องไห้ขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อลูกของนางและได้วิงวอนให้ลูกชายสามารถมองเห็นได้ดังเดิม จนในที่สุด สายธารแห่งความเมตตาได้หลั่งไหลมายังนาง ด้วยการที่อัลลอฮ์ทรงตอบรับการวิงวอน ในคืนหนึ่งนางเห็นท่านนะบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสลามในความฝันและพูดว่า อัลลอฮ์ทรงทำให้การมองเห็นของลูกเธอกลับสู่สภาพเดิมอีกครั้งเพราะการวิงวอนของเธอ ในตอนเช้าเมื่ออิมาม บุคอรีย์ตื่นขึ้นมาจากที่นอน เขาสามารถมองเห็นแสงริบหรี่
การศึกษาขั้นพื้นฐานและความสนใจในวิชาหะดีษ
เมื่ออิมาม บุคอรีย์อายุได้ 10 ขวบท่านจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ท่านได้หันมาสนใจในวิชาหะดีษและได้รับอนุญาตให้เข้าชั้นเรียนวิชาหะดีษในบุคอรอ ท่านตั้งใจเรียนอย่างแข็งขัน หนึ่งปีต่อมาท่านสามารถจดจำตัวบทและสายรายงานหะดีษได้เป็นอย่างดี จนบางครั้งครูผู้สอนยังต้องตรวจความถูกต้องของหะดีษจากท่าน อิมามบุคอรีย์สามารถศึกษาความรู้ศาสนาด้วยความฉลาดและความว่องไว เมื่ออายุครบ 16 ปีท่านสามารถท่องจำหนังสืออัลวากิ๊อฺ ของอับดุลลอฮ์ อิบนุ มุบาร๊อก ได้ทั้งเล่ม และหนังสือเล่มอื่นๆของผู้รู้ที่เป็นสหายของอบู หะนีฟะฮ์
การเริ่มต้นในการรวบรวมหะดีษ
เมื่ออายุได้ 18ปีอิมาม บุคอรีย์ได้เดินทางไปมักกะฮ์พร้อมกับมารดาและพี่ชายของท่านที่ชื่อ อะห์มัด อิบนุ อิสมาอีล หลังจากเสร็จสิ้นการทำฮัจญ์ พี่ชายได้กลับไปพร้อมกับมารดาของเขาแต่อิมาม บุคอรีย์ยังคงอยู่ที่นั่นเพื่อศึกษาต่อในระดับสูง ในระหว่างนั้นท่านได้เขียนหนังสือที่มีชื่อว่า เกาะฎอยา อัศ เศาะฮาบะฮ์ วัต ตาบิอีนหลังจากนั้น ได้เดินทางไปยังมะดีนะฮ์เพื่อเรียบเรียงหนังสือ อัต ตารีค อัล กะบีร อันโด่งดัง
เป็นเวลาหลายปีที่อิมาม บุคอรีย์ได้ออกเดินทางไกลเพื่อเสาะหาสายรายงานหะดีษและได้เพิ่มความรู้อันมากมาย เขากล่าวว่าเพื่อแสวงหาความรู้ ฉันเดินทางไปทั้งอียิปต์ และซีเรียสองครั้ง บัสเราะฮ์ 4 ครั้ง และใช้เวลา 6 ปีอยู่ที่ฮิญาซ อีกทั้งได้ร่วมเดินทางกับอุละมาอ์หะดีษไปยังกูฟะฮ์และบัฆดาดในหลายโอกาส
ความจำอันยอดเยี่ยม
อิมาม บุคอรีย์เป็นผู้ที่มีความจำที่เป็นเลิศ ราวกับว่าทั้งร่างกายของเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าเต็มไปด้วยข้อมูล ความจำอันยอดเยี่ยมของเขา ทำให้เรานึกถึงอบูฮุรอยเราะฮ์ รดิยัลลอฮุ อันฮุ ท่านสุไลมาน อิบนุ มุญาฮิด กล่าวว่า วันหนึ่ง ฉันได้นั่งร่วมกับ มุฮัมมัด อิบนุ สลาม เขากล่าวว่า ถ้าท่านมาเร็วกว่านี้หน่อย ฉันจะให้ท่านดูเด็กคนหนึ่งที่จำหะดีษถึง 70,000 หะดีษ สุไลมานลุกขึ้นและเริ่มมองหาอิมาม บุคอรีย์ สักพักเขาก็พบอิมาม บุคอรีย์และถามว่า ท่านคนเดียวจำหะดีษได้ตั้ง 70,000 หะดีษเชียวหรือ? อิมาม บุคอรีย์ตอบว่า ฉันได้ศึกษาหะดีษมากว่าที่ท่องจำนี้เสียอีก ฉันรู้แม้กระทั่งสถานที่เกิด ตาย และที่อยู่ของเหล่าเศาะฮาบะฮ์ได้มากที่สุดถึงบุคคลที่ถูกรายงานไว้ในหะดีษ

เช่นเดียวกัน มุฮัมมัด อิบนุ อัซฮัร อัส ซาญิสตานี่ กล่าวว่า ฉันเคยไปหาสุไลมาน อิบนุ ฮัรบ์พร้อมกับอิมาม บุคอรีย์เพื่อที่จะฟังหะดีษ ฉันบันทึกหะดีษ แต่อิมาม บุคอรีย์กลับไม่ทำอย่างนั้น มีคนพูดกับฉันว่า ทำไมอิมาม บุคอรีย์ถึงไม่บันทึกหะดีษลงไป? ฉันบอกกับเขาว่า ถ้าเจ้าพลาดที่จะบันทึกหะดีษใดแล้ว เจ้าสามารถเอามันจากความจำของอิมาม บุคอรีย์
เหลียวมองชีวิตส่วนตัวของเขา
ความเรียบง่ายและความถ่อมตัว
อิมาม บุคอรีย์เป็นคนเรียบง่ายและทำงานหนัก ท่านมักจะทำงานต่างๆด้วยตัวท่านเอง แม้ว่าจะมีความร่ำรวนและสถานะที่มีเกียติ ท่านมีลูกจ้างจำนวนน้อยมากตามความจำเป็นเท่านั้นและตัวเขาไม่เคยหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเหล่านี้ มุฮัมมัด อิบนุ ฮาติม อัล วัรรอกซึ่งเป็นศิษย์เอกคนหนึ่งของเขากล่าวว่า อิมาม บุคอรีย์ทำห้องเช่าใกล้กับเมืองบุคอรอและกำลังก่ออิฐด้วยมือท่านเอง ฉันรีบเร่งมาหาและกล่าวว่า ท่านหยุดเถอะ ปล่อยที่เหลือให้ฉันทำเอง แต่ท่านกลับตอบว่า ในวันแห่งการตัดสินการ งานนี้จะเป็นประโยชน์กับฉัน
วัรรอกกล่าวต่อไปว่า เมื่อเราร่วมเดินทางไปกับอิมาม บุคอรีย์ ท่านจะให้พวกเราอยู่รวมกันในห้องหนึ่งส่วนตัวท่านเองจะอยู่อีกห้องหนึ่ง ครั้งหนึ่งฉันเห็นอิมาม บุคอรีย์ตื่นขึ้นมาในช่วงกลางดึกประมาณ 15-20 ครั้งและทุกๆครั้งเขาได้จุดไฟขึ้น เขาเอาหะดีษออกมาแล้วทำเครื่องหมายไว้ หลังจากนั้นจึงวางหัวบนหมอน แล้วเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ยาว ฉันถามท่านว่าทำไมท่านต้องลำบากในช่วงกลางคืนเช่นนี้ ในเมื่อท่านสามารถปลุกฉันขึ้นมาได้(เพื่อที่ฉันจะได้ช่วยท่าน) ท่านตอบกลับไปว่า เจ้ายังเด็กอยู่และจำเป็นต้องนอนให้เต็มอิ่ม และฉันก็ไม่ต้องการจะรบกวนเวลานอนของเจ้า
ความเอื้อเฝือเผื่อแผ่
อิมาม บุคอรีย์ถือว่าเป็นตัวอย่างอันดีงามในเรื่องความเอื้อเฝือเผื่อแผ่ ท่านหวังว่าสักวันหนึ่งจะบริจากให้ได้ 3.000 ดิรฮัมในหนึ่งวัน อัล วัรรอก กล่าวว่า อิมามบุคอรีย์มีรายได้ 500 ดิรฮัมต่อเดือนและเขาจะใช้จ่ายหมดไปกับนักเรียนของเขา
ความเกรงกลัวอัลลอฮ์
อิมาม บุคอรีย์เป็นบุคลที่มีความเคร่งครัดและจริยธรรมสูงส่ง ท่านเกรงกลัวอัลลอฮ์อย่างมากทั้งภายในและภายนอก ท่านจะคอยยับยั้งตัวเองจากการนินทาและระแวงสงสัยผู้อื่น และคอยระวังไม่ให้ก้าวก่ายสิทธิของผู้อื่น บักร์ อิบนุ มุนีรเล่าว่าอิมาม บุคอรีย์กล่าวว่า ฉันหวังว่าเมื่อใดที่ฉันได้พบกับพระผู้อภิบาลของฉัน พระองค์จะไม่ทรงคิดบัญชีกับฉัน เพราะฉันไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการนินทา
อิมาม บุคอรีย์คอยระมัดระวังในการทำอิบาดะฮ์ของท่านให้มีความประณีตอยู่เสมอ ท่านจะละหมาดและถือศีลอดสุนัตอย่างมากมาย และจะท่องกุรอานทั้งหมดให้ลุล่วงเป็นประจำในเดือนรอมฎอน และท่องกุร อานสิบยุซอ์ในช่วงกลางคืน เขาไม่เคยคิดจะรังเกียจคนอื่นๆถึงแม้ว่าบุคคลนั้นจะกระทำไม่ดีต่อท่านก็ตาม อิมามบุคอรีย์จะขอดุอาให้อัลลอฮฺทรงยกโทษให้กับผู้ที่ประพฤติไม่ดีกับท่าน หากจำเป็นจะต้องมีการว่ากล่าวตักเตือนใครก็ตาม ท่านก็จะไม่ทำให้บุคคลนั้นต้องอับอายต่อหน้าสาธารณชน
การจากไปของเขา
อิมาม บุคอรีย์ตายในค่ำคืนของวันอิฎิล ฟิตรีอันเป็นค่ำคืนแรกของเดือนเชาวัลปีฮ.ศ. 56 ซึ่งอีกเพียง12 วันท่านก็จะมีอายุครบ 62 ปี ในค่ำคืนนั้นเองที่ดวงตะวันแห่งความรู้ คุณความดี ความจำเริญได้ดับลง บุคคลที่ความรู้และการปฏิบัติของเขาได้ส่องสว่างแก่ให้กับหัวใจและจิตใจของปัญญาชนจำนวนมากรวมทั้งผู้คนแห่งซามัรคาน บุคอรอ บัฆดาด และนัยซาปูร ขออัลลอฮ์ทรงตอบรับความอุตสาหะที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและขอความเมตตาจากพระองค์ให้หลั่งไหลสู่ดวงวิญญาณของท่านด้วยเถิด อามีนยาร๊อบบัลอาละมีน!!

หมู(ในทัศนะอิสลามและวิทยาศาสตร์)


เรียบเรียงโดย นัชมุดดีน อัตตอฮีรี

ธรรมชาติของหมู
โดยธรรมชาติแล้ว หมูมีนิสัยขี้เกียจและหมกมุ่นอยู่กับเรื่องสืบพันธุ์ มันไม่ชอบ แสงอาทิตย์และเป็นสัตว์ขี้กลัว ยิ่งมีอายุมากมันจะยิ่งขี้เกียจมาก หมูจะกินแทบทุกสิ่ง ที่อยู่ข้างหน้ามันไม่ว่าสิ่งนั้นจะสกปรกโสโครกเพียงใด มันจะชอบที่สกปรกมากกว่าที่ สะอาด ชอบที่จะกินและนอนโดยไม่ชอบเดินไปไหนมาไหนมีนิสัยตะกละ ในบรรดาสัตว์ ทั้งหมด หมูจะเป็นแหล่งของตัวพยาธิที่เป็นพิษแหล่งใหญ่ที่สุด ดังนั้นเนื้อหมูจึงเป็นพาหะ ของโรคหลายอย่างมายังมนุษย์ ด้วยเหตุผลนี้เอง เนื้อหมูจึงไม่เหมาะสมที่จะนำมาบริโภค
ความเห็นของนายแพทย์จีนและนายแพทย์ชาติอื่นทั้งในอดีตและปัจจุบันเกี่ยว กับเนื้อหมู เมื่อพูดถึงเรื่องนิสัยการกินที่สะอาด ข้าพเจ้าขออนุญาตแนะนำความเห็นและ บทสรุปทางการแพทย์และบทสรุปของคนจีนและนักเขียนทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ให้ผู้อ่าน ได้รู้เพื่อเป็นข้อมูลประกอบถึงเรื่องการห้ามมุสลิมกินหมู

นิตยสารอายุวัฒนะของจีนที่มีชื่อเสียงเล่มหนึ่งชื่อ "หยันโฉวตัน" กล่าวว่า : "เมื่อใกล้ตายความกลัวจะเข้าไปยังหัวใจของหมูและลมหายใจสุดท้ายของสัตว์จะเข้า ไปยังน้ำดี เนื้อสัตว์ทุกชนิดเป็นอาหารบำรุงกำลังยกเว้นเนื้อหมู จงอย่ากินมัน"
จะเห็นว่ามีการอ้างถึงความกลัวและลมหายใจสุดท้ายของสัตว์ที่เข้าไปยังหัวใจ และน้ำดีของมันซึ่งเรื่องนี้อาจจะไม่เป็นที่ยอมรับได้สำหรับนักวิทยาศาสตร์ แต่มันจะ ต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างสำหรับการสรุปแบบห้วน ๆ นี้
ในสมัยราชวงศ์ถัง มีหมอคนหนึ่งชื่อ ซุนซีเหมา เคยถูกเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ใคร ๆ อยากจะเป็นกันแต่ท่านกลับปฏิเสธ หมอผู้นี้มีอายุยืนถึง 100 ปี และ เป็นนักอนามัยผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยเมื่อสองพันปีที่ผ่านมา ท่านได้เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง "เฉเฉนลู" (บันทึกแห่งสุขภาพ) ว่า :-
"เนื้อหมูอาจทำให้การป่วยไข้เก่า ๆ กลับคืนมาอีก มันนำไปสู่การเป็นหมัน โรคไขข้อ กระดูกอักเสบ และโรคหืด" หมอผู้นี้ได้ชี้ให้เห็นโรคอย่างน้อยทีสุดสามโรคและยังกล่าวถึงแนวโน้มของเนื้อหมู ที่จะเป็นสาเหตุทำให้โรคเก่ากลับมาอีก การค้นพบของท่านได้รับการยืนยันโดยนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันแล้ว
หมอมีชื่อเสียงอีกท่านหนึ่งแห่งราชวงศ์หมิง ชื่อ หลีชีเฉน (ซึ่งเป็นซินแสด้านยา และเขียนตำราไว้กว่า 50 เล่ม) ได้ใช้เวลาตลอดชีวิตของท่านศึกษาเกี่ยวกับเรื่องยา ได้กล่าวเกี่ยวกับเนื้อหมูไว้ว่า :-
"หมูทางตอนใต้มีกลิ่นฉุนและมีน้ำมันเข้มข้น มันมีพิษภัยที่ก่อให้เกิดโรคมากมาย"
ถ้าหากไม่มีความเชื่อมั่นหลังจากการศึกษาอย่างหนักเกี่ยวกับพืชสมุนไพรและสิ่งที่กิน ได้นับพันชนิด หมอผู้ยิ่งใหญ่อย่างหลีชีเฉนก็คงไม่กล้าพูดว่าเนื้อหมูโดยทั่วไปเป็นอันตราย ต่อสุขภาพ ความเห็นและข้อสรุปทางการแพทย์เหล่านี้ถูกอ้างมาจากหนังสือเรื่อง "พิธีกรรมในอิสลาม" (The Rites in Islam) ซึ่งเขียนโดย เชค หวางไต้ยู่ นักการแพทย์สมัยใหม่ชื่อ ฉือฮุนหยู ได้เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง "ปัญหาของการกินเนื้อสัตว์ เป็นอาหาร" (The Problem of Carnivorousness) ของเขาว่าการกินเนื้อหมูเป็น สาเหตุทำให้เกิดความจำเสื่อมและผมร่วง วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็ได้พบว่า เนื้อหมูเป็น
สาเหตุประการหนึ่งที่ทำให้ศีรษะล้านและความจำเสื่อม ซึ่งโรคทั้งสองนี้เป็นที่หวั่นกลัวของ คนหนุ่มและคนแก่คำพูดเช่นนี้สนับสนุนคำพูดเกี่ยวกับเรื่องหมูของคนในยุคโบราณโดย ทางอ้อม

โดยปกติเรามักจะเห็นคนขายหมูมีรูปร่างอ้วนฉุ แต่นั่นไม่จำเป็นต้องหมายถึงการ มีสุขภาพดีเสมอไป บางทีมันอาจจะเป็นของการติดต่อสัมผัสกับเนื้อหมูอย่างต่อเนื่องและ เป็นโรคที่เนื้อหมูนำมาก็ได้ ดร.เกลน เชฟฟาร์ด (Fr.Glen Shephard) ได้เขียนเกี่ยว กับเรื่องอันตรายของการกินเนื้อหมูไว้ในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ฉบับวันที่ 31 พฤษภาคม 1952 ไว้ว่า
"ประชาชนในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา 1 ใน 6 คนมีเชื้อจุลินทรีย์ในกล้าม เนื้อ-ทริโคโนซีส-จากการกินเนื้อหมูที่มีเชื้อพยาธิทริคินาหลายคนติดเชื้อโรค แต่ไม่มีอาการ คนส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อนี้จะฟื้นจากอาการป่วยช้ามาก บางคนเสียชีวิต
บางคนกลายเป็นคนทุพพลภาพซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นคนกินเนื้อหมูอย่างไม่ระมัดระวัง"
"ไม่มีใครที่ปลอดพ้นจากเชื้อโรคนี้และก็ไม่มีวิธีการรักษา ไม่มียาปฏิชีวนะหรือยา และวัคซีนใด ๆ ที่สามารถจะมีผลต่อพยาธิมรณะตัวจิ๋วนี้ได้ ดังนั้น การป้องกันการ ติดเชื้อจึงเป็นคำตอบที่แท้จริง"

"พยาธิทริคินามีความยาวเมื่อเติบโตเต็มที่ประมาณ 1/8 นิ้ว และกว้างประมาณ 1/400 นิ้ว มีอายุยืนถึง 40 ปี มีสารห่อหุ้มตัวเป็นลักษณะแคปซูลกลมคล้ายลูกมะนาว อยู่ระหว่างเส้นใยกล้ามเนื้อ"
"เมื่อคุณกินเนื้อที่ติดเชื้อโรคเข้าไปสารที่ห่อหุ้มพยาธินี้จะถูกย่อยแต่ตัวพยาธิที่อยู่ภาย ในจะเติบโตเต็มที่และแต่ละตัวจะออกลูกประมาณ 1500 ตัว พยาธิเหล่านี้จะเข้าไปใน เลือดของคุณในเวลาหนึ่งหรือสองสัปดาห์หลังจากที่คุณกินพ่อแม่ของมันเข้าไป เนื่องจาก พยาธิสามารถรุกรานเข้าไปได้ในหลายส่วนของอวัยวะ ดังนั้น อาการของโรคนี้จะเหมือน กับโรคอื่น ๆ อีก 50 โรคซึ่งทำให้เป็นเรื่องยากในการวินิจฉัย" "วิธีการหมักเค็มและการรมควันธรรมดาไม่อาจที่จะฆ่าพยาธิเหล่านี้ และการ
ตรวจเนื้อของรัฐบาลที่สถานที่บรรจุหีบห่อหรือที่โรงฆ่าสัตว์ก็ไม่สามารถรู้ถึงเนื้อหมูที่ ติดโรคนี้ได้" โรคที่มีสาเหตุมาจากหมูและการกินเนื้อหมู เราขอทำความเข้าใจให้กับท่านเป็นที่กระจ่างก่อนว่าเนื้อของสัตว์ทุกชนิดหรือแม้ กระทั่งผักนั้นจะมีจุลินทรีย์ที่เป็นเชื้อโรคอยู่ด้วยกันทั้งนั้น แต่เนื้อหมูจะมีเชื้อจุลินทรีย์และ พยาธิที่มีเชื้อโรคอยู่มากที่สุด ในบรรดาเนื้อสัตว์ที่มนุษย์รู้จัก ยิ่งเราศึกษาเนื้อหมูมากขึ้น เราก็ยิ่งมีความกลัวมากขึ้น
ต่อไปนี้เป็นรายชื่อของจุลินทรีย์ที่เป็นเชื้อโรคและพยาธิที่พบในเนื้อหมูและโรคต่างๆ ที่มีสาเหตุมาจากมัน โรคต่าง ๆ เหล่านี้เป็นโรคที่ติดต่อและระบาดได้ง่ายในขณะทีบางโรค มีความรุนแรงอาจถึงตายได้ นี่เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่ายิ่งวิทยาศาสตร์มีความก้าวหน้ามากเท่าใดก็ยิ่งเป็นการ พิสูจน์เห็นถึงความถูกต้องของอิสลามมากขึ้นเท่านั้น
ชื่อพยาธิ
1. Fasciolopsis Buski (พยาธิใบไม้ลำไส้) Zlankester 1857 : Ocliver-1902) พยาธิเหล่านี้จะแผงตัวอยู่ในลำไส้เล็กของ หมู เป็นเวลานาน พยาธิเหล่านี้เมื่อออกจาก ตัวหมู ก็จะไปติดตัวทาก ซึ่งจะมาติดต่อกับ คนอีกทีหนึ่ง ส่วนใหญ่แล้วจะมีอยู่ในเมืองจีน
2. พยาธิตัวกลมพยาธิชนิดนี้มีความยาว 9-10 นิ้ว และได้ชื่อว่า "พยาธิท่องเที่ยว"เพราะมัน สามารถเคลื่อนที่ไปได้
ชื่อของโรคที่มีสาเหตุจากพยาธิ
1. 28% ของคนไข้ที่เข้ารับการรักษาใน โรงพยาบาลเฉาฮิง (จังหวัดเฉเกียงของจีน) และ5.5% ของคนไข้อื่น ๆ ที่ไปรับ การรักษาภายนอกโรงพยาบาลได้รับการ ติดเชื้อโรคคนไข้จะมีอาการผิดปกติในเรื่อง การ ย่อยอาหารและจะเป็นโรคท้องร่วง ต่อเนื่อง ร่างกายจะบวมเนื่องจากเนื้อเยื่อ ใต้ผิวหนังพองน้ำ
2. โรคปอดอักเสบ โรคหายใจขัด โรคดีซ่าน
หลังจากที่อ่านถ้อยคำของ ดร.เชฟฟาร์ด แล้ว เราสามารถสันนิษฐานได้ว่า
ไม่มีหลักประกันความปลอดภัยที่แท้จริงแม้แต่เมื่อตอนเรากินเนือ้หมูจึงเป็นการเอา
สุขภาพและชีวิตของเราเข้าไปเสี่ยงเหมือนกับการพนัน

"ทำไมอิสลามจึงห้ามกินหมู ?"


"ทำไมอิสลามจึงห้ามกินหมู ?"

คนทั่วไปมักจะสงสัยว่า "ทำไมอิสลามจึงห้ามกินหมู ?" และมักจะเข้าใจว่า เฉพาะคนมุสลิมเท่านั้นที่มีบทบัญญัติทางศาสนาห้ามกินหมู ทั้ง ๆ ที่ศาสนาคริสต์ ก็มีบทบัญญัติห้ามคนคริสเตียนกินเช่นกันและห้ามมาก่อนสมัยศาสดามุฮัมมัด เสียด้วยซ้ำ แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่ไม่ยักมีใครถามว่า
"ทำไมคัมภีร์ไบเบิลจึงห้ามกินหมู่ ?"
เมื่อบทบัญญัติห้ามกินหมูถูกประทานให้แก่มุสลิมในยุคต้น ๆ ผู้คนในยุคนั้น ไม่รู้เหตุผลหรอกว่าทำไมพระเจ้าจึงทรงห้ามเพราะผู้ศรัทธาในพระเจ้ายุคนั้นรู้แต่ เพียงว่าเขาเป็นมุสลิม และมุสลิมคือผู้นอบน้อมยอมจำนนต่อคำสั่งของพระเจ้าโดย สิ้นเชิงดังนั้น เมื่อพระเจ้าทรงบัญชาสิ่งใดพวกเขาก็ปฏิบัติตาม โดยไม่มีการตั้งคำ ถามว่า "ทำไม?" เพราะพวกเขารู้ดีว่าพระเจ้าทรงมีเหตุผลและทรงมีเจตนาดีต่อ พวกเขา แต่เหตุผลของพระองค์ในเวลานั้นเกินกว่าทีสติปัญญาของพวกเขาแต่เหตุผล ของพระองค์ในเวลานั้นเกินกว่าที่สติปัญญาของพวกเขาจะหยั่งรู้ได้ ดังนั้น การปฏิบัติ ตามด้วยความศรัทธาเพียงอย่างเดียวสำหรับพวกเขาก็ถือว่าเป็นการเพียงพอแล้ว สำหรับการเป็นมุสลิม
แต่เมื่อโลกวิวัฒนาการขึ้น การปฏิบัติตามศาสนาด้วยความศรัทธาทางจิตใจ เพียงอย่างเดียว ดูเหมือนจะไม่เพียงพอแล้วสำหรับมนุษย์ผู้มีวิวัฒนาการทางสติ ปัญญา มนุษย์ต้องการจะรู้เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังคำสั่งของพระเจ้าเพื่อประกอบกับ ความศรัทธาของเขา ดังนั้น เพื่อตอบสนองความต้องการทางสติปัญญาของมนุษย์ พระองค์จึงได้ประทานความรู้ความสามารถทางสติปัญญให้แก่มนุษย์เพื่อใช้ค้นคว้า หาคำตอบและเหตุผลด้วยสติปัญญาของเขาเอง
เพื่อที่จะปฏิบัติตามคำสอนของอิสลามในเรื่องนี้ มุสลิมจะต้องปฏิบัติตามในสิ่งที่ พระผู้เป็นเจ้าอนุมัติและงดเว้นในสิ่งที่พระองค์ห้ามทั้งนี้เพื่อที่จะได้รับความสะอาด บริสุทธิ์ทั้งทางด้านจิตวิญญาณและธรรมชาติแห่งความเป็นมนุษย์
การละเว้นจากการกินเนิ้อหมูในอิสลามมีเหตุผลหลายประการทั้งจากทัศนะของ
ศาสนาและทัศนะทางวิทยาศาสตร์
การรักษาอนามัยและการแสงหาความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ การละเว้นจากการกินเนื้อหมูเป็นขั้นตอนหนึ่งซึ่งอิสลามกำหนดไว้เพื่อเป็นการ รักษาสุขภาพอนามัย และการได้รับความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ

ฮาลาล(2)


อาหารที่ต้องห้ามจึงรวมอยู่ในประเภทใหญ่ ๆ สี่ประเภท โดยสามารถที่จะจำแนกรายละเอียดออกได้เป็นสิบประเภทดังนี้
ห้ามรับประทานซากสัตว์และเหตุผลของการห้าม

1. สิ่งแรกของอาหารต้องห้ามที่กุรอานกล่าวถึงเกี่ยวก็คือเนื้อของ “ซากสัตว์” นั่นคือสัตว์และ สัตว์ปีกที่ตายเองโดยไม่ได้ถูกฆ่าหรือถูกล่าโดยมนุษย์ เหตุผลที่ห้ามก็คือ - การกินเนื้อสัตว์ที่ตายเองเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงต่อความรู้สึกของคนทั่วไป - อัลเลาะห์มิทรงต้องการให้มนุษย์กินสิ่งที่เขามิดได้ตั้งใจหรือคิดที่จะกินดังในกรณีสัตว์ที่ตายเอง - ถ้าหากสัตว์ตายเอง มันก็อาจเป็นไปได้ว่ามันตายเพราะเหตุปัจจุบันทันด่วนหรือตายเพราะโรคระบาด ดังนั้นการกินเนื้อของมันจึงอาจเป็นอันตรายได้ - เป็นความเมตตาอย่างหนึ่งของอัลเลาะห์ที่จัดหาแหล่งอาหารไว้ให้แก่สัตว์และนกบาง ประเภทที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มคล้ายกับมนุษย์ ความจริงอันนี้จะเห็นได้จากการที่ซากสัตว์ต่าง ๆ ที่ตายอยู่กลางแจ้งจะถูกสัตว์และนกหลายชนิดเข้ามาจิกกิน
การห้ามกินเลือด
2. ข้อห้ามประการที่สองก็คือเลือด
มีผู้ถามอิบนุ อับบาส เกี่ยวกับม้าม ท่านได้ตอบว่า “พวกท่านจงกินมันเถิด” พวกเขาได้กล่าวว่า “แต่มันเป็นเลือด” ท่านจึงตอบว่า “เพียงแต่เลือดที่ไหลเท่านั้นที่ถูกห้ามสำหรับพวกท่าน” เหตุผลสำหรับการห้ามกินเลือดก็คือ มันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจต่อความรู้สึกของมนุษย์ และมันอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพด้วยเช่นกัน
เนื้อหมู
3. อาหารต้องห้ามประเภทที่สามก็คือ เนื้อหมู
เนื่องจากเนื้อหมูเป็นสัตว์ที่ชอบของสกปรกและสิ่งปฏิกูล ยิ่งไปกว่านั้นการค้นคว้าทางการแพทย์ได้แสดงให้เราเห็นว่าการกินเนื้อหมูนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพในทุกสภาพอากาศ โดยเฉพาะในเขตอากาศร้อน นอกจากนี้แล้วการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ก็ได้แสดงให้เห็นว่าเนื้อหมูนั้นมีเชื้อโรคชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคสมองอักเสบ และยังมีพยาธิที่มีชื่อว่า ตัวจี๊ด (ทริไคนา) อยู่ด้วย
สัตว์ทีถูกพลีให้แก่ผู้อื่นนอกจากอัลเลาะห์
4. อาหารประเภทที่สี่คือ สัตว์ที่ถูกพลีให้แก่สิ่งอื่นจากอัลเลาะห์
ซึ่งหมายถึงสัตว์ที่ถูกเชือดโดยผู้เชือดกล่าวนามอื่นจากนามอัลเลาะห์ เหตุผลที่ห้ามสำหรับกรณีนี้ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความศรัทธาทั้งสิ้น เพื่อทำให้การปฏิบัติศาสนกิจบริสุทธิ์เพื่ออัลเลาะห์ และเพื่อต่อสู้กับการตั้งภาคีทุกรูปแบบ
ประเภทของซากสัตว์
ที่กล่าวมานั้นเป็นอาหารเนื้อสัตว์ต้องห้ามสี่ประเภทใหญ่ ๆ นอกจากนี้กุรอานยังให้รายละเอียดเกี่ยวกับ “ซากสัตว์” อีก 5 ประเภทดังนี้
5. ที่ถูกรัดคอตาย หมายถึงสัตว์ที่ถูกรัดคอตายด้วยเชือก หรือด้วยวิธีการอย่างใดที่ทำให้หายใจไม่ออก
6. ที่ถูกตีจนตาย หมายถึงสัตว์ที่ถูกตีด้วยของหนักหรือวัตถุใด ๆ จนตาย
7. ที่ตกมาตาย หมายถึงสัตว์ที่ตายเพราะตกจากที่สูงหรือตกลงไปในหุบเขา
8. ที่ถูกขวิดตาย หมายถึงสัตว์ที่ถูกสัตว์อื่นขวิดจนตาย
9. ที่ถูกสัตว์ป่ากิน หมายถึงสัตว์ที่ถูกสัตว์ป่ากัดและตายด้วยเหตุนั้น
เหตุผลของการห้ามอาหารเหล่านี้
อัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงปรีชาญาณ ต้องการที่จะสอนมนุษย์ให้มีความเมตตากรุณาต่อสัตว์ และป้องกันมิให้มันได้รับอันตราย มนุษย์จะต้องไม่ปล่อยปละละเลยจนสัตว์ถูกรัดคอ หรือผลัดตกมาจากที่สูง หรือต่อสู้กันจนถูกขวิด และจะต้องไม่ทรมานสัตว์ด้วยการเฆี่ยนตีอย่างรุนแรงเหมือนที่พวกรับจ้างเลี้ยวสัตว์ทำ หรือนำสัตว์มาต่อสู้กันจนตัวหนึ่งทำให้อีกตัวหนึ่งได้รับบาดเจ็บ หรือขวิดอีกตัวหนึ่งจนตาย
ส่วนเหตุผลที่ห้ามกินเนื้อสัตว์ที่ถูกสัตว์ป่ากัดกินนั้น เป็นการรักษาศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ไว้ คือมุสลิมจะต้องไม่ลดตัวลงไปกินซากของสัตว์ที่ถูกสัตว์ป่าจับมาเป็นเหยื่อ
สัตว์ที่ถูกเชือดบูชา
10. อาหารเนื้อสัตว์ต้องห้ามประเภทที่สิบ ก็คือสัตว์ที่ถูกเชือดบูชาเทวรูปต่างๆ ในยุคก่อนอิสลามนั้นเบื้องหน้าของเทวรูปจะมีแท่นบูชาตั้งอยู่ และพวกบูชาเทวรูปจะเชือดสัตว์บนแท่นหรือใกล้กับแท่นนี้เพื่อทำให้ตนได้ใกล้ชิดกับเทพเจ้าของพวกเขา
ปลาและตั๊กแตนไม่อยู่ในจำพวกซากสัตว์ที่ศาสนาห้าม
อิสลามได้ยกเว้นปลาและปลาวาฬ และสัตว์ทะเลอื่น ๆ ออกจากประเภท “ซากสัตว์” ที่ศาสนาห้าม. ขณะเมื่อท่านนบีมุฮัมมัด ซ.ล. ได้ถูกถามเกี่ยวกับทะเล ท่านได้ตอบว่า : “น้ำทะเลสะอาด และสัตว์ทะเลที่ตายนั้นฮาลาล” (เป็นที่อนุมัติ)
อัลเลาะห์ทรงกล่าวว่า : “การล่าสัตว์ทะเลเป็นที่อนุมัติแก่พวกท่านและอาหารของมัน “ (อัลมาอิดะห์ : 96)
ท่านอุมัรได้อธิบายคำว่า “การล่าสัตว์ทะเล” ในที่นี้หมายถึงสัตว์ทะเลทุกชนิดที่ถูกล่าว และ คำว่า “อาหารของมัน” หมายถึงสิ่งที่ทะเลคายออกมา ส่วนอิบนุ อับบาส กล่าวว่า “อาหารของมัน” ก็คือสัตว์ทะเลที่ตาย สัตว์จำพวกตั๊กแตนก็ได้รับการยกเว้นไม่เข้าอยู่ในอาหารประเภท “ซากสัตว์” ด้วย ท่านศาสดาได้อนุญาตให้กินสัตว์จำพวกตั๊กแตนที่ตายแล้ว
นอกจากเนื้อสัตว์ต้องห้ามที่กล่าวมาแล้วศาสนาอิสลามยังห้ามสุรา สิ่งที่ทำให้มึนเมาและทำให้ขาดสติทุกประเภท ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม และห้ามนำมาเป็นส่วนผสมในอาหาร
ในการปรุงอาหารวัตถุดิบที่จะนำมาปรุงอาหารจะต้องเป็นสิ่งที่สะอาดตามบัญญัติศาสนาจะต้องผ่านการล้างเอาสิ่งที่เป็นนะยิส (สิ่งที่ศาสนาถือว่าเป็นสิ่งสกปรก) ออกไป และผ่านกระบวนการปรุงที่สะอาดและที่ถูกต้อง ถ้าหากเป็นเนื้อสัตว์ต้องเป็นที่เชือดถูกต้องตามบัญญัติศาสนาและต้องผ่านการล้างอย่างถูกวิธีตามบัญญัติศาสนา
เนื้อหา : จากหนังสือฮาลาลและฮารอมในอิสลาม ของเชคยูซุฟ อัลกอรดอวี
แปลโดย : มุอฺมิน Oct 02, 2008 124.120.143.209 เรียบเรียงโดย (นัชมุดดีน ตอฮีรี)

ฮาลาล (1)


ฮาลาลคืออะไร
คำว่า “ฮาลาล” เป็นคำภาษาอาหรับมีความหมายทั่วไปว่า อนุมัติ เมื่อนำมาใช้ในทางศาสนา จะมีความหมายาว่า สิ่งที่ศาสนาอนุมัติ (เช่นอนุมัติให้กิน อนุมัติให้ดื่ม อนุมัติให้ทำ อนุมัติให้ใช้สอย เป็นต้น )
คำว่า “ฮาลาล” เป็นคำภาษาอาหรับมีความหมายทั่วไปว่า อนุมัติ เมื่อนำมาใช้ในทางศาสนา จะมีความหมายาว่า สิ่งที่ศาสนาอนุมัติ (เช่นอนุมัติให้กิน อนุมัติให้ดื่ม อนุมัติให้ทำ อนุมัติให้ใช้สอย เป็นต้น )
“ฮาลาล” เป็นคำที่มีความหมายตรงข้ามกับคำว่า “ฮารอม” ที่มีความหมายทั่วไปว่า ห้าม และเมื่อนำมาใช้ในทางศาสนาจะมีความหมายว่า สิ่งที่ศาสนาห้าม
การอนุมัติสิ่งใด หรือการห้ามสิ่งใดใสศาสนาอิสลามเป็นประกาศิตที่มาจากอัลเลาะห์ผู้เป็นเจ้า และมาจากศาสนทูตของพระองค์เท่านั้น ถือเป็นหลักสำคัญที่มุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดโดยไม่ต้องค้นหาเหตุผลการอนุมัติ หรือเหตุผลการห้ามแต่อย่างใด เมื่อพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้แจ้งไว้ เพราะมุสลิมมีความเชื่อมั่นศรัทธาว่าสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าอนุมัติเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์ส่วนสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าห้ามเป็นสิ่งที่มีพิษภัยและมีโทษ พระผู้เป็นเจ้าผู้สร้างมนุษย์ขึ้นมาทราบดีถึงสิ่งที่เป็นและเป็นโทษต่อมนุษย์ พระองค์จึงอนุมัติสิ่งที่เป็นคุณและห้ามสิ่งที่เป็นโทษ
ส่วนเหตุผลที่มนุษย์ค้นพบว่ามีข้อดีในสิ่งที่ศาสนาอนุมัติ และมีข้อเสียในสิ่งที่ศาสนาห้าม โดยพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้แจ้งไว้และได้นำมาอ้างอิงนั้นเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้นไม่ใช่เป็นหลักสำคัญ เพราะเหตุผลที่มนุษย์ค้นพบอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ส่วนประกาศิตของพระผู้เป็นเจ้านั้นเป็นอมตะไม่เปลี่ยนแปลง
ในเมื่ออิสลามเป็นระบอบในการดำเนินชีวิตของมุสลิมชีวิตของมุสลิมจึงผูกพันอยู่กัลป์ศาสนาตั้งแต่เกิดจนตาย การกระทำทุกอย่างของมุสลิมต้องดำเนินอยู่ในกรอบที่ศาสนากำหนดในทุกกรณีทั้งเรื่องความผูกพัน ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า มนุษย์กับมนุษย์ และระหว่างมนุษย์กับสัตว์ มุสลิมต้องมีความเมตตาสงสารสัตว์ การกักขังสัตว์โดยไม่ให้อาหารเป็นเหตุให้ตกนรก การกลั่นแกล้งรังแกสัตว์ จะต้องถูกนำไปใต่สวรต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า การเชือดสัตว์เป็นสิ่งที่ศาสนาอนุมัติให้กระทำได้ภายใต้กรอบที่เชือดเพื่อเป็นอาหาร ไม่กระทำทรมานสัตว์ ต้องเชือดด้วยมีดที่คม ต้องให้สัตว์ล้มลงนอนอย่างดี ขณะเชือดต้องกล่าวนามของพระผู้เป็นเจ้า
ฮาลาลและฮารอมในชีวิตส่วนตัวของมุสลิม
เรื่องอาหารและเครื่องดื่ม
ประชาชาติและเผ่าพันธุ์มนุษย์มีทัศนะที่แตกต่างกันในเรื่องอาหารและเครื่องดื่มว่าสิ่งใดเป็นสิ่งอนุมัติและสิ่งใดเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับพวกเขามาช้านานแล้ว โดยเฉพาะเรื่องอาหารที่มาจากสัตว์
สำหรับอาหารและเครื่องดื่มที่ได้มาจากพืชนั้น มนุษย์เราไม่มีทัศนะที่แตกต่างกันมากนัก อิสลามไม่ได้ห้ามอาหารที่ได้มาจากพืช ยกเว้นสิ่งที่เกิดจากการนำไปหมักจนกลางเป็นสุรา ไม่ว่าจะผลิตจากองุ่น อินทผลัม ข้าวบาร์เลย หรือวัตถุอื่นใดก็ตาม เมื่อกลายสภาพเป็นสุรา เช่นเดียวกับที่อิสลามห้ามสิ่งที่ทำให้มึนเมาและขาดสติ และที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เช่น ยาเสพติดชนิดต่าง ๆ ส่วนอาหารที่ได้มาจากสัตว์นั้น ศาสนาและลัทธิต่าง ๆ มีทัศนะที่แตกต่างกันอย่างกว้างขวาง
การเชือดสัตว์และการบริโภคเนื้อในลัทธิต่าง ๆ
มีผู้คนหลายพวก เช่น พวกพราหมณ์และนักปรัชญาบางกลุ่มที่ห้ามเชือดสัตว์และห้ามรับประทานเนื้อสัตว์ และดำรงชีพด้วยการกินอาหารมังสวิรัติ คนกลุ่มนี้อ้างว่าการฆ่าสัตว์นั้นเป็นความทารุณโหดร้ายที่มนุษย์กระทำต่อสัตว์ที่มีชีวิตเช่นเดียวกับมนุษย์ เมื่อสัตว์มีชีวิต มนุษย์ก็ไม่มีสิทธิที่ จะทำลายชีวิตของสัตว์

อย่างไรก็ตาม เมื่อเราพิจารณาถึงสรรพสิ่งต่าง ๆ ที่อัลเลาะห์สร้างขึ้นมา เราจะพบว่าสัตว์ทั้งหลายมิได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตัวของมันเอง ทั้งนี้เพราะมันไม่มีสติปัญญาหรือสิทธิ์ที่จะเลือก และเราจะพบอีกว่า สภาพทางธรรมชาติของมันก็อยู่ในลักษณะที่ถูกสร้างมาเพื่อรับใช้มนุษย์ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ว่ามนุษย์น่าจะได้รับประโยชน์จากเนื้อของมันหลังจากที่มันถูกเชือด เช่นเดียวกับที่มนุษย์ได้รับผลประโยชน์จากการใช้งานมันขณะเมื่อมันมีชีวิตอยู่
เราจะพบได้อีกเช่นเดียวกันว่าในการสร้างสรรค์ของอัลเลาะห์นั้นพระองค์ได้วางกฎไว้ให้ สิ่งที่อยู่ตระกูลที่ต่ำกว่าต้องอุทิศตนแก่สิ่งที่อยู่ในตระกูลที่สูงกว่า ด้วยเหตุนี้พืชจึงถูกตัดไปเป็นอาหารสัตว์ และสัตว์จะถูกเชือดเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์ และยิ่งไปกว่านั้นคน ๆ เดียวกันอาจต้องต่อสู้ และเสียสละชีวิตเพื่อคนจำนวนมาก

และการที่มนุษย์ไม่ฆ่าสัตว์ก็ใช่ว่าสัตว์จะรอดพ้นจากความตายและการถูกทำลายไปได้ คือถ้ามันไม่ตกเป็นเหยื่อของสัตว์อื่นมันก็จะต้องตายเองอยู่ดี และมันอาจได้รับความเจ็บปวดยิ่งกว่าโดยคมมีดที่มาคร่าชีวิตของมันด้วยความรวดเร็ว
ในศาสนาของยิวและคริสต์ซึ่งรากฐานมาจากคัมภีร์ของพระผู้เป็นเจ้านั้น อัลเลาะห์ได้ห้ามพวกยิวกินสัตว์ทะเลมากมายกลายชนิด คัมภีร์กุรอานเองก็ได้เอ่ยถึงสิ่งที่อัลเลาะห์ได้ทรงห้ามแก่พวกคนยิว ทั้งนี้เพื่อเป็นการลงโทษพวกยิวในฐานที่ดื้อดึงและทำบาปไว้หลายอย่างเช่น อายะห์ที่ว่า
“และสำหรับพวกยิว เราได้ห้ามสัตว์มีกีบที่ไม่แยกเป็นสองกีบทุกชนิด ส่วนวัวและแพะเราได้ห้ามแก่พวกเขาบริโภคไขของมัน เว้นแต่ที่ติดอยู่บนหลังของมันหรือตามลำไส้หรือแทรกอยู่ในกระดูก เช่นที่กล่าวนั้น เราได้ลงโทษพวกเขาเพราะการละเมิดของพวกเขาและแท้จริงเราเป็นผู้ที่สัตย์จริง” (อัลอันอาม: 146)
ทัศนะของชาวอาหรับก่อนอิสลาม
สำหรับชาวอาหรับในยุคก่อนอิสลามได้ห้ามสัตว์บางอย่างในฐานะที่เป็นสัตว์สกปรกและบางอย่างก็ถูกถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะละเมิดไม่ได้ และเป็นสัตว์ที่พลีอุทิศให้แก่เทวรูปของตน แต่ในทางตรงกันข้าม ชาวอาหรับกลับอนุญาตอาหารที่ไม่บริสุทธิ์หลายอย่างเช่น เนื้อของสัตว์ที่ตายแล้ว และเลือด เป็นต้น
อิสลามอนุญาตสิ่งที่ดีมีเป็นประโยชน์
ขณะที่ศาสนาอิสลามมาปรากฏสภาพของมนุษย์ก็ยังคนเป็นอยู่อย่างที่กล่าวในเรื่องของการบริโภคเนื้อสัตว์ระหว่างพวกที่ถือว่าเนื้อสัตว์ทุกอย่างเป็นที่อนุมัติ ส่วนอีกพวกหนึ่งถือว่าเนื้อสัตว์ทุกชนิดเป็นสิ่งต้องห้าม ดังนั้นอัลเลาะห์จึงได้ชี้นำมนุษย์ชาติทั้งมวลว่า
“มนุษย์ชาติทั้งหลายเอ๋ย จงบริโภคสิ่งอนุมัติจากที่มีอยู่ในแผ่นดิน และอย่าปฏิบัติตามรอยเท้าของมารร้ายซัยตอน เพราะแท้จริงมันเป็นศัตรูของพวกเจ้าอย่างชัดเจน “(อัลบะกอเราะห์ :168 )
อัลเลาะห์เรียกพวกเขาในฐานะ “มนุษยชาติ” ให้บริโภคอาหารที่ดีที่พระองค์ได้จัดทรงจัดหาไว้ให้พวกเขาบนโลกอันเปรียบได้เสมือนโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ และห้ามพวกเขาไม่ให้เจริญรอยตามแนวทางของมารซัยตอนที่ล่อลวงผู้คนให้ห้ามปรามสิ่งดีมีประโยชน์ และมันจะชักนำมนุษย์ไปสู่กับดักแหล่งการทำลายตนเอง หลังจากนั้นอัลเลาะห์ได้แนะนำบรรดาผู้มีศรัทธา โดยเฉพาะว่า
“โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย จงบริโภคสิ่งที่ดีทั้งหลาย ที่เราได้ประทานให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกท่าน และพวกท่านจงขอบคุณอัลเลาะห์ถ้าหากพวกท่านเคารพภักดีแต่พระองค์เท่านั้น ที่จริงพระองค์ได้ทรงห้ามพวกท่านเฉพาะแต่เพียง ซากสัตว์ เลือด เนื้อของสุกร สัตว์ที่ถูกเชือดบูชาโดยเอ่ยนามอื่นนอกจาก อัลเลาะห์ ดังนั้นผู้ใดที่ตกอยู่ในภาวะคับขัน โดยไม่มีเจตนาขัดขืนและไม่ใช่เป็นการละเมิดก็ไม่มีบาปตกแก่พวกเขา แท้จริงอัลเลาะห์เป็นผู้ทรงอภัยยิ่ง ผู้ทรงเมตตาเสมอ” (อัลบะกอเราะห์ : 172-173 )

คำประกาศนี้มุ่งเฉพาะผู้มีศรัทธาเท่านั้น อัลเลาะห์บัญชาใช้พวกเขาให้บริโภคสิ่งที่ดีที่พระองค์ได้ทรงจัดไว้เป็นปัจจัยยังชีพพวกเขา และให้พวกเขามีสำนึกในความกรุณาของพระองค์ จากนั้นพระองค์ได้ทรงอธิบายต่อไปว่า พระองค์ไม่ได้ห้ามพวกเขาบริโภค ยกเว้นอาหารสี่อย่างดังที่ได้กล่าวไว้ในโองการข้างต้น และอาหารที่มีระบุไว้ในโองการอื่น ๆ และโองการที่จัดเจนที่สุดที่พูดถึงอาหารสี่อย่างเป็นการเฉพาะคือ คำดำรัสของอัลเลาะห์ ตาอาลาที่ว่า
“ จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ฉันไม่พบว่ามีสิ่งใดที่ถูกเผยแก่ฉันเป็นสิ่งต้องห้ามแก่ผู้ที่จะบริโภคมัน เว้นแต่สัตว์ที่ตายเอง หรือเลือดที่ไหลออกมา หรือเนื้อของสุกร เพราะแท้จริงมันเป็นสิ่งสกปรก หรือสัตว์ที่เป็นการฝ่าฝืนที่เปล่งนามอื่นไปจากอัลเลาะห์ขณะเชือด ดังนั้นผู้ใดตกอยู่ในภาวะคับขัน โดยไม่ได้มีเจตนาขัดขืนและไม่ใช่เป็นการละเมิด เพราะแท้จริงองค์อภิบาลของท่านเป็นผู้ทรงอภัยยิ่ง ผู้ทรงเมตตาเสมอ” (อัลอันอาม : 145)
ในซูเราะห์ อัลมาอิดะห์ อัลกุรอานได้กล่าวถึงสัตว์ต้องห้ามเหล่านี้ พร้อมรายละเอียดมากยิ่งขึ้นว่า
“เป็นที่ต้องห้ามเหนือพวกท่าน คือซากสัตว์ เลือด เนื้อสุกร สัตว์ที่ถูกเชือดบูชาโดยเอ่ยนามอื่นจากอัลเลาะห์ สัตว์ที่ถูกรัดคอตาย สัตว์ที่ถูกตีจนตาย สัตว์ที่ตกมาจากที่สูงตาย สัตว์ที่ถูกขวิดตาย สัตว์ที่ถูกสัตว์ดุร้ายกิน เว้นแต่ที่สูเจ้าเชือดทัน และสัตว์ที่ถูกเชือดพลีบนแทนหิน บูชา...” (อัลมาอิดะห์ : 3)
เนื้อหา : จากหนังสือฮาลาลและฮารอมในอิสลาม ของเชคยูซุฟ อัลกอรดอวี
แปลโดย : มุอฺมิน Oct 02, 2008 124.120.143.209 เรียบเรียงโดย (นัชมุดดีน ตอฮีรี)